วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สำนึกผิดด้วยจิตหยาบ สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ









เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม แบบที่ 1 ไปแล้ว

เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
ในผลกรรมแบบที่ 2 ให้ท่านรู้อีกว่า

ถ้าหากภพชาตินี้
ท่านต้องประสบกับชะตากรรมต่อไปนี้แล้ว
ท่านจะสามารถสอบผ่านบททดสอบ
และเข้าถึงความสำเร็จด้านการเรียนรู้
ในมิติแห่งจิตวิญญาณ
ซึ่งแก่นแท้ของท่านถือชะตากรรมนั้น
ติดตัวมาเองจากชาติที่แล้วได้
ท่านจักต้องสำนึกให้ได้ว่า
ท่านก่อกรรมทำเวรอะไรมา

ชะตากรรมในกรรมแบบที่ 2 นี้ก็คือ

1.มีคู่กี่ครั้ง ก็หย่าร้างทุกคน

2.อยากมีคู่ร่วมเตียงเมียงมองมาหลายปี
แต่ชีวิตนี้ดูเหมือนจะยากไร้คู่ครอง

3.ไม่มีความสุขในครอบครัว
ความเป็นคู่ตัวผัวเมียมักไม่ราบรื่น

ทะเลาะกันเป็นนิจ ผิดใจกันเป็นประจำ
ทั้งๆที่บางครั้งทะเลาะกันจริงจัง
ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง....

แปลก.....ทะเลาะกันอย่างไร
แต่กลับไม่มีใครคิดจะแยกทาง

แปลก...แปลก.....ทะเลาะกันหยกๆ
แต่ลูกดกยั้วเยี้ย....

ดังนั้น
หากท่านจะสอบผ่านบททดสอบนี้
ท่านจึงจะต้องเรียนรู้ชีวิตคู่ชีวิตโสด
ให้ถ่องแท้ว่า...

อันว่าคู่ครองของท่านนั้น......
เป็นเสมือนทรัพย์สิ่งที่มีค่า
ท่านมีหน้าที่ต้องให้เกียรติกัน
ท่านต้องปฏิบัติต่อกันอย่างละมุนละมัย
ด้วยจิตใจที่มองเห็นคุณค่าของกันและกัน

ต้องรู้จักอดทน อดกลั้น ให้อภัย
ไม่เอาความรู้สึกนึกคิด
และความต้องการของฝ่ายใด
มาใช้อำนาจเหนือนำอีกฝ่ายหนึ่ง

ต้องคิดดีต่อกัน
ต้องพูดดีต่อกัน
ต้องทำดีต่อกัน
ต้องมองกันในแง่ดี

ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นเหยียดหยามกัน
เมื่อใครผิดจักต้องไม่ซ้ำเติมกัน

ต้องไม่หวาดระแวงต่อกัน
ต้องซื่อสัตย์ต่อกันทั้งต่อหน้าลับหลัง

นอกจากนั้นท่านยังจะต้องรู้ด้วยว่า
อันคู่ครองของท่านนั้น
คือผู้ที่มาเกิดเพื่อร่วมเล่นละครชีวิต
ไปตามบทบาทที่ตัวท่านนั่นแหละ
เป็นผู้ขีดเขียนแล้วร้องขอให้เขาเล่น
ไม่ว่าจะเป็นบทดีหรือบทร้าย

ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ท่านเข้าถึง
การสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกต่อเขา
ด้วยการรักเขาให้ได้
ด้วยการให้อภัยเขาให้เป็น
ด้วยการอดทน อดกลั้น เมตตา สงสาร
ไปตามบทบาทที่เขาแสดงต่อท่าน

เพื่อใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมของเขา
ผลิตสร้างประจุบวกให้กับโลก
ตามเงื่อนไขพันธะสัญญาข้อแรกในหกข้อ
ที่จิตวิญญาณของเขา
ได้ให้ไว้ต่อพระบิดาตั้งแต่ภพชาติแรก
ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

ตัวท่านซึ่งเป็นคู่ครองเขาเองก็เช่นกัน
ก็ได้ขอร้องให้เขาช่วยเล่นละครชีวิต
ไปตามบทบาทที่ท่านเอง
เป็นผู้เลือกให้เขาเล่นด้วยเช่นกัน

โดยต่างได้ร่วมวางแผนกันมา
ณ วิหารสีขาวที่เราเรียกว่า "ด่านนภาลัย"
ซึ่งเป็นประตูมิติระหว่างเอกภพ
กับดินแดนแห่งสุญญตาของผู้หลุดพ้นนั่น

เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีแล้ว
ท่านทั้งหลายถูกปิดมิติไว้มิให้ล่วงรู้
เพื่อใช้บทละครที่เขียนกันมา
เป็นบททดสอบจิตสำนึกของทั้งคู่
โดยอาศัยความไม่รู้เพราะจำไม่ได้ของทั้งคู่
เป็นเงื่อนไขสำคัญนั่นเอง

หากท่านเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง
ตามที่เราเปิดเผยมาทั้งหมดนี้
แล้วปรับปรุงแก้ไขจิตสำนึกเสียให้ถูกต้อง
เวรกรรมบทนี้จักถือเป็นยุติ
ด้วยการรักได้ ให้เป็น
เห็นคุณค่าของคู่ครองของท่านเท่านั้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-2-2016

จิตจักรวาลอ่านกรรม







จิตจักรวาลอ่านกรรม:
*********************
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อท่านได้เรียนรู้กันมาบ้างแล้วว่า
กฎแห่งกรรมในมิติทางพลังงาน
ด้านของจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านนั้น
กระบวนการและกฎเกณฑ์ตามคำกล่าวที่ว่า
"กรรมสนองกรรม" เป็นเช่นไรแล้ว

ท่านจักต้องรู้เพิ่มเติมอีกด้วยว่า
กรรมเวรที่ทำซึ่งมันจะสะท้อนกลับมาหาท่าน
ในรูปของ "เวรกรรม" แบบต่างๆ
ในภพชาติต่อมานั้น
แท้จริงแล้วมันมิใช่การ "ชดใช้"
เยี่ยงการคิดแบบจิตมนุษย์แต่อย่างใด
มันเป็นบทเรียนทางจิตวิญญาณต่างหากล่ะ

การรับผิดชอบเบื้องแรก
ในกรรมเวรที่ทำไว้
ทันทีที่จบสิ้นอายุขัยในภพชาตินี้
ก็คือจิตวิญญาณของท่าน
จะถูกนำส่งลงไปยังภพภูมินรกก่อน
เพื่อปรับสมดุลให้กับจิตวิญญาณนั้น
เนื่องจากจิตหยาบทำให้
จิตวิญญาณมีการหลงมิติเกิดขึ้น

จนเมื่อปรับสมดุลได้ดังเดิมแล้ว
จิตวิญญาณนั้นจึงจะได้รับโอกาสให้
คืนกลับสู่การเกิดเป็นมนุษย์
ในภพชาติถัดไปอีกครั้ง

ถ้าใครก็ตามก่อกรรมเวรไว้ในชาตินี้
ด้วยการทุบตี ทำร้าย ดุด่า
บิดรมารดาของตัวเอง

บทเรียนโลกที่คนๆนั้น
จะต้องเผชิญในภพชาติหน้าก็คือ
"ชะตากรรม" ที่จะเป็นบทเรียน
ให้เขาคนนั้นได้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เพื่อจะใช้เวลาทั้งอายุขัยในภพชาตินั้น
สร้างสำนึกใหม่ที่ถูกต้องดีงามให้ได้ว่า

ตนเองนั้นได้กระทำกรรมเวรอันใดมา
จึงต้องเผชิญกับชะตากรรมเยี่ยงปัจจุบันนั่น

ท่านว่ามันยากมั้ยล่ะ...
ที่ท่านหรือใครก็ตามจะสามารถสำนึกบาป
ที่ตนได้กระทำไว้ในอดีตชาติได้ง่ายๆ
ในเมื่อตาที่สามของท่าน
ถูกอำนาจแม่เหล็กโลกปิดบังมิติเอาไว้

ในฐานะที่เราได้กลับมาอีกครั้งตามสัญญา
เพื่อจะช่วยนำพาแก่นแท้ของท่านกลับบ้าน
เราจึงจะเฉลยความจริงให้ท่านเก็บตุนไว้
เผื่อท่านจะได้ใช้มัน
กระตุ้นจิตสำนึกที่ถูกต้องของท่าน
หากวันนี้...ชาตินี้...
ท่านมีชะตากรรมที่ต้องเผชิญคือ

1.แขนขาพิการ หูหนวก
มาตั้งแต่เกิด....

เหตุเพราะได้ทำผิดบาปไว้ในชาติที่ผ่านมา
ด้วยการใช้มือและเท้าทุบตีทำร้ายพ่อแม่
อันเป็นการใช้มือและเท้าก่อกรรมเวร
ต่อผู้มีพระคุณของตนเอง
อย่างไม่รู้คุณค่าของอวัยวะที่ตนมีอยู่

2.เป็นใบ้มาตั้งแต่กำเนิด
และมีเสียงพูดที่น่าเกลียด.....

เหตุเพราะชาติที่ผ่านมา
เป็นคนที่ชอบดุด่าว่ากล่าว
ตัดพ้อต่อว่าใช้วาจาก้าวล่วง
พ่อแม่บุรพการีของตนเองอยู่เป็นนิจ

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เวรกรรมทั้งสองประเภทนี้
มันจะเป็นโมฆะกรรม
หรือมันจะสิ้นสุดยุติได้ก็ต่อเมื่อ

ในภพชาตินี้ทั้งภพชาติ
ท่านหรือใครคนนั้นจักต้อง
สำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณให้ได้ว่า

บิดรมารดาเป็นดั่งพระอรหันต์ในบ้าน
ท่านทั้งสองเป็นผู้มีพระคุณ
เพราะเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่แก่บุตรเช่นท่าน
ท่านจึงจะกระทำการใดๆก้าวล่วง
ในบทบาทของบุตรอกตัญญูไม่ได้
และท่านจักต้องยอมรับชะตากรรม
อันไม่พึงประสงค์ของตนนั้นให้ได้ด้วย
จึงจะสามารถ "ยุติกรรมนั้น" ได้
อย่างสิ้นเชื้อ.....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-2-2016

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

กระบวนการของกฎแห่งกรรม







เราจะกล่าวความจริงเรื่อง"เวรกรรม"ให้รู้ว่า
กระบวนการของกฎแห่งกรรมนั้น
เป็นกฎเกณฑ์ทางพลังงานด้านของจิต
ที่สัมพันธ์กับความจริงในมิติทางกายภาพ
ทั้งของโลกและจักรวาล
โดยมีจิตมนุษย์แต่ละคน
เป็นผู้เริ่มต้นหรือจุดเริ่มของการสั่นสะเทือน
จนทำให้เกิดคลื่นพลังงานกรรมนั้นขึ้นมา
ซึ่งเราเรียกมันว่า "กรรมเวร"
โดยมีสนามพลังงานของโลกและเอกภพ
เป็นสื่อกลางในการสั่นสะเทือนนี้
ซึ่งมันจะเริ่มต้นจากจิตของผู้ก่อ
แล้วขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ
แบบคลื่นวงกลมอย่างต่อเนื่อง
จนกว่าจะไปถึงสุดชายขอบของเอกภพ
โดยมีสุดชายขอบของสนามพลังงาน
ที่มีรูปลักษณ์เป็นทรงรี
ที่เป็นเสมือนห้องทดลองขนาดใหญ่
ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
ที่เราเรียกว่า "เอกภพ" เป็นจุดวกกลับ
จุดวกกลับของคลื่นตรงชายขอบเอกภพนี้
คือ จุดที่คลื่นพลังงานกรรมของท่าน
เมื่อเดินทางไปกระทบกับมันเมื่อไหร่
คลื่นพลังงานกรรมนั้นก็จะสะท้อนกลับ
เพื่อย้อนคืนสู่ผู้เริ่มต้นการสั่นสะเทือน
อันหมายถึง "จิต" ก็คือตัวท่านนั่นเอง
ดังนั้น
ท่านหรือใครก็ตามเมื่อก่อกรรมเวรขึ้นมา
จากการสั่นสะเทือนทางจิตหรือมโนกรรม
นั่นเท่ากับว่าได้สร้างความสัมพันธ์กัน
ระหว่างตนเอง คู่กรรมคู่เวร โลกและเอกภพ
ต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทางด้านลบที่เหลวไหลไปเรียบร้อยแล้ว
บุรพกรรมหรือวิบากกรรมที่ทำต่อตนเอง
พันธะสัญญากรรมหรือชะตากรรม
ที่กระทำไม่ถูกต้องต่อผู้อื่นจนเขาเสียสมดุล
ซึ่งเมื่อใครก่อมันขึ้นมาแล้ว
มีการสะท้อนย้อนกลับคืนสู่เจ้าของนี้
เราจะเรียกว่า "เวรกรรม"
เวรกรรม จึงหมายถึง "ผลกรรมด้านลบ"
ที่เราเรียกว่า "กรรมเวร" ของพวกท่าน
เมื่อได้ผลิตสร้างมันขึ้นมาแล้ว
ผู้สร้างมันขึ้นมาจักต้องมีหน้าที่ "รอเวลา"
เพื่อการรับกลับคืนสถานเดียว
ใครก่อใครทำกรรมเวรนั้นไว้
ใครคนนั้นนั่นแหละจักต้องรอรับผิดชอบ
ถ้าก่อกรรมด้านบวกหรือด้านดีไว้
แล้วหมายจะรับผลตอบแทน
โดยทำไป ร้องขอไป อธิษฐานไป
หรือก่อกรรมด้านลบที่ไม่ดีไว้
ก็จักต้องรอรับผลกรรมนั้นอยู่บนโลกนี้
หากโชคร้ายตายก่อนที่ผลกรรมจะมาถึง
ก็ต้องรีบย้อนกลับมาเกิดในภพชาติใหม่
เพื่อมารองรับผลกรรมบวกหรือลบ
ที่ตนได้ก่อเป็นผลกรรมขึ้นไว้เสมอ
ไม่ว่ากว่ามันจะย้อนกลับคืนมา
ต้องใช้เวลายาวนานปานใด
ท่านทั้งหลายก็ต้องรอ
การที่ท่านต้องรอรับผลกรรมของตนเอง
เป็นเวลายาวนานร่วมภพชาติ
เพราะคลื่นพลังงานกรรมของท่าน
จักต้องเคลื่อนที่เดินทางจากตัวท่าน
ผ่านสื่อกลางทางพลังงาน
ทั้งของโลกและเอกภพ
จนไปกระทบชายขอบจักรวาล
แล้วคลื่นนั้นต้องสะท้อนกลับมาสู่ท่าน
ต้องใช้เวลายาวนานก็เพราะว่า
เอกภพนี้มีขนาดใหญ่มากๆ
การเดินทางไปกลับของคลื่นพลังงาน
จึงจำต้องใช้เวลาทางกายภาพนานมาก
เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
เพื่อให้รู้และเข้าใจเสียให้ถูกต้องว่า
กระบวนการกฎแห่งกรรมดี-ชั่ว
ภายในจักรวาลนี้ของพระบิดานั้น
สัจธรรมความจริงด้าน "อภิปรัชญา"
มันต้องเป็นของมันเช่นนี้เอง
หากพวกท่านทำกรรมดีใดไว้แล้วร้องขอ
หรือพวกท่านทำกรรมชั่วใดไว้
แม้จะมิได้ร้องขอที่จะรับผลกรรมนั้น
ไม่ว่าตัวเราหรือใครคนอื่นๆ
จะมารับผลกรรมนั้นๆแทนกันไม่ได้
การเป็นผู้ไถ่บาปให้แก่พวกท่าน
เราจึงหมายถึงการชี้บุญชี้บาปแก่ท่าน
ไปตามความจริงที่เราเรียนรู้จากพระบิดา
เราจึงเป็นผู้กล่าวไปตามพระโอวาท
แห่งองค์จิตจักรวาล
เพราะเรามิสามารถรับโทษบาปแทนใครได้
แม้สี่ห้องใจแห่งเราจักปรารถนาก็ตาม
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-2-2016

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

รักให้ได้ ให้ให้เป็น





เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ทุกคนในสังคมที่เกิดมา
ไม่มีใครทัดเทียมเสมอกันหมดไปเสียทุกเรื่อง
โดยเฉพาะด้านความสมบูรณ์พร้อม
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ทั้งนี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลาย
มีเหตุให้ต้องหันหน้าเข้าหากัน

เพื่อเรียนรู้ที่จะพึ่งพาอาศัยกัน
เพื่อเรียนรู้ที่จะสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ถ้าหากพวกท่านทำสำเร็จเมื่อไหร่
ก็จะได้ใช้พลังร่วมแห่งจิตสำนึกด้านบวก
ช่วยกันค้ำจุนโลกให้สมดุล
ผ่านการช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเอง
อย่างต่อเนื่องในอัตราเร็วคงที่ได้ในที่สุด

ดังนั้น
หน้าที่ของพวกท่านก็คือ
การรักคนอื่นให้ได้
การให้คนอื่นเขาให้เป็น
ด้วยการให้ความรักที่ท่านมีอยู่แล้วที่ในใจ
ด้วยการให้สิ่งดีๆที่ท่านล้วนมีอยู่กับตน

ซึ่งหากมันเป็น "หน้าที่"
ต้องรักเพื่อให้แล้ว

สิ่งแรกเลยก็คือ...
ท่านต้องรักได้ให้เป็นกับทุกคน
มิใช่ให้จำเพาะแต่ญาติพี่น้องของตน
หรือให้จำเพาะเพื่อนบ้านที่ร่ำรวย
ที่ท่านหวังว่าเขาจะช่วยเหลือท่าน
กลับคืนมาบ้างในวันข้างหน้า

สิ่งที่สองก็คือ...
ท่านต้องรักได้ให้เป็นกับทุกคน
มิใช่ให้จำเพาะเพื่อนบ้านที่เขาดีต่อท่าน
เพราะการรักการให้มันเป็นหน้าที่
แม้ใครจะดีไม่ดีกับท่านก็ตา
ท่านก็มีหน้าที่จะต้อง
รักให้ได้ ให้เขาให้เป็นหรือให้อภัยเท่านั้น

สิ่งที่สามก็คือ...
ท่านต้องรักให้ได้กับทุกคน
โดยเฉพาะคนที่ท่านรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า
เขาไม่สามารถที่จะตอบแทนอะไรท่านได้
ไม่ว่าวันนี้หรือวันหน้า
เพราะเขาเป็นคนยากไร้
เพราะเขาเป็นคนด้อยโอกาส
เพราะเขาเป็นคนพิการ
บุคคลเหล่านี้เพียงแค่ท่านตัดสินใจให้
ท่านก็มีความสุขจากการเป็นผู้ให้แล้ว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-2-2016

ควมรักคือพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่








เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

คนส่วนใหญ่ปรารถนาที่จะมีอำนาจ
แต่พอมีอำนาจได้แล้ว
กลับใช้อำนาจที่มีอยู่นั้นไม่เป็น

การใช้อำนาจไม่เป็น
หมายถึง การนำเอาอำนาจนั้น
ไปใช้บงการผู้อื่น
ไปก้าวล่วงผู้อื่น
จนทำให้ผู้อื่นเสียสมดุล
ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ทั้งๆที่อำนาจซึ่งตนได้มาหรือว่ามีอยู่นั้น
ควรใช้กระทำที่ตนเองมากกว่า
จะไปเกี่ยวกรรมกับคนอื่น

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
หน้าที่หลักของทุกๆคนก็คือ
ต้องสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลก
และทุกสรรพสิ่งเท่านั้น

โดยใช้อำนาจในตนเองเป็นเครื่องมือ
เช่น อำนาจที่จะรักคนที่ไม่น่ารักให้ได้
อำนาจที่จะให้อภัย
แก่คนที่ไม่น่าให้อภัยให้เป็น

กับอำนาจที่จะคิดด้วยปัญญาว่า
ท่านจะยอมรับคนบางคน
ที่คบยากได้อย่างไร เป็นต้น

นอกจากนั้น
ท่านยังต้องรู้อีกว่า
อำนาจใดที่ได้มา
จากการทำลายอำนาจของผู้อื่น
จากการฉกฉวยมาจากผู้อื่นนั้
มันเป็นเพียงอำนาจชั่วคราวไม่ยั่งยืน
เพราะคนอื่นที่เขาต้องเสียอำนาจให้ท่าน
จักต้องหาทางเอาคืนแน่นอน

ดังนั้น...
คนที่เป็นผู้นำคงต้องจดจำเอาไว้ว่า
นายที่จะประสบผลสำเร็จในการนำนั้น
จักต้องครองใจลูกน้องทุกคนได้
ลูกน้องทั้งหลายจักต้องยอมรับท่าน

เพราะว่าท่านใส่ใจ
ในทุกข์สุขของลูกน้องทุกคน

เพราะว่าท่านรู้จักรักรู้จักให้
มีน้ำใจโอบอ้อมเอื้อเฟื้อ เป็นต้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-2-2016

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

"การร้องขอ" สิ่งดีๆจากตัวท่านเอง






เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
วันๆหนึ่งท่านพูดคุยสนทนา
กับผู้คนรอบข้างตั้งมากมาย
แต่ท่านเคยพูดคุยสนทนากับตนเองบ้างมั้ย
ชีวิตของท่านจะมีอะไรๆที่ดีมากขึ้น
หากท่านรู้จักพูดคุยกับตนเองบ้าง
โดยเฉพาะ "การร้องขอ" สิ่งดีๆจากตัวท่านเอง
ตัวอย่างประโยคสนทนากับตัวเอง
1.งานนี้ฉันจะประสบความสำเร็จ
2.วันนี้ภารกิจของฉันจะราบรื่น
3.สุขภาพของฉันจะแข็งแรงสมบูรณ์
4.แม้ว่ามันจะยากแต่ฉันต้องทำได้แน่นอน
5.พลาดไปแล้วไม่เป็นไร
วันหน้าจะเป็นวันของเรา
เคล็ดลับแห่งความสำเร็จก็คือ
1.พูดจากใจจริง
2.พูดด้วยความเชื่อมั่นว่าเป็นไปได้จริง
3.พูดอย่างมั่นใจในตนเอง
เพียงแค่คิดแล้วคุยกับตนเอง
แก่นแท้ของท่านก็จะสั่นสะเทือนตามทันที
เพราะมันเป็นกลไกอัตโนมัติ
ใครๆก็ทำได้มิได้ลี้ลับอะไรนักหนา
สิ่งที่จะนำพาความสำเร็จสมหวังมาให้ท่าน
จากการคิดบวก พูดบวก และทำบวกนั้น
ก็คือพลังทางจิตวิญญาณของท่านเอง
เราเรียกว่า "พลังแห่งจิตใต้สำนึก"
เช้านี้....เริ่มวันใหม่
ด้วยการคิดบวกในทุกเรื่อง
ด้วยการมองบวกในทุกด้าน
ด้วยการพูดบวกกับตนเองและทุกๆคน
นี่เป็นการ "สนทนากับตนเอง"
เพื่อการร้องขอสิ่งดีๆในชีวิต
ที่สุภาพอ่อนน้อมต่อผู้ให้
คือจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเอง
จงอย่าริอ่าน "สั่งจิตวิญญาณ" ตนเอง
หรือที่เรียกว่า "สั่งจิตใต้สำนึก"
เพราะมันเป็นการก้าวร้าวต่อแก่นแท้ตัวเอง
ซึ่งเป็นการผิดบาปอย่างยิ่ง
แรกๆที่กระทำอาจได้ผล
แต่พอนานวันเข้าพลังอำนาจพิเศษนี้
จะมีแต่ถดถอยร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ
เหตุเพราะท่านมิได้ร้องขอ
ผ่านจิตสำนึกตนเอง!
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-2-2016

นึกให้เห็น นึกว่าเห็น


 
 
 
 
 
 
 
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ขณะที่ท่านกำลังนั่งหลับตา
ปฏิบัติกรรมฐานสมาธิอยู่เพียงลำพัง
แล้วกำหนดจิตให้เห็นเป็นภาพใดๆก็ตาม
ที่ท่านต้องการจะแลเห็นมัน

ตัวอย่างเช่นกำหนดให้เห็นเป็นลูกแก้ว
อยู่แถวๆท้องน้อยของตัวเองนั้น

เราขอบอกท่านทั้งหลายให้รู้ว่า
ภาพที่ท่านกำหนด "นึกให้เห็น" เป็นลูกแก้วนั่น
มันเป็นแค่เพียงภาพมายาเท่านั้นนะ
เพราะจิตของท่านปรุงแต่งมันขึ้นมาเอง
มันเป็นเพียงสิ่งที่ท่านสมมติขึ้นมา
มิใช่ภาพจริงในมิติแห่งจิตวิญญาณ

ท่านรู้หรือไม่ว่า......
ถ้าวันๆท่านเอาแต่นั่งหลับตากำหนดจิต
เพื่อที่จะ "นึกให้เห็นมายา"
มีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นลูกแก้ว
ให้เห็นแล้วเห็นอีก
โดยฝึกที่จะเห็นมันอยู่อย่างนั้น

นานวันเข้า "ลูกแก้วดวงสมมติ"
ซึ่งเป็น "มายา"
มันจะกลับมาหลอนตัวท่านเอง
ให้เกิดการ "นึกว่าเห็นจริง" เข้าสักวัน

จงจดจำเอาไว้ว่า....
แรกเริ่มจะประเดิมด้วยการกำหนดจิต
ด้วยการ "นึกให้เห็น" ลูกแก้วที่เป็นมายา
พอฝึกจิตให้ทำเช่นว่านี้ไปนานๆเข้า
จิตของท่านก็จะเปลี่ยนจากการ "นึกให้เห็น"
เป็น "นึกว่าเห็น" ลูกแก้วปลอมนั่น
โดยหลงผิดคิดว่ามันเป็นของจริงแทน

จนหลายรายหลงเชื่อว่าเจ้าลูกแก้วมายานั่น
มันเป็นกายทิพย์ของตนเข้าไปโน่น
ทั้งๆที่หากใช้มหาสติตรึกตรองไปตามจริงแล้ว
ก็จะพบความจริงได้ว่า
ที่ตนเชื่อว่าใช่นั้นแท้จริงแล้วมันไม่ใช่

นอกจากนั้น
การเชื่อว่าที่ตัวท่านเองเห็นลูกแก้ว
ซึ่งใส่รหัสเพิ่มเข้าไปอีกว่าเป็นกายทิพย์นั้น
มันเป็นการแลเห็นภาพจริงด้วยจิตแน่หรือ

เพียงแค่ท่านฝึกปฏิบัติจิต
ด้วยการนั่งเพ่งลูกแก้วอยู่แค่ไม่กี่สัปดาห์
ท่านกลับสามารถเพิ่มสมรรถนะของจิต
ให้มีอำนาจพิเศษด้านทิพยจักขุคือตาทิพย์
จนสามารถแลเห็นรูปธรรมของสรรพสิ่ง
ที่มีอยู่จริงในมิติทางพลังงาน
ด้านของจิตวิญญาณได้แล้วแน่หรือ

ทั้งๆที่ท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า
รูปลักษณ์กายทิพย์จริงๆของตนนั้น
จะเป็นอย่างที่ท่านกำหนดมายาขึ้นมาหรือเปล่า

ท่านรู้หรือไม่ว่า....การปฏิบัติเช่นว่านี้นั้น
เท่ากับเป็นการสอนจิตให้ยึดติดมายา
แทนที่จะแสวงหาความว่าง
บนเส้นทางแห่งนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

นี่แหละ...
ปฏิบัติดีมานมนานแต่นิพพานกันไม่ได้
เป็นจริงได้แค่การ "หลุดลอย" เท่านั้น
ก็เพราะเหตุแห่งงมงายนี่แหละท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-2-2016

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

กรรมดีกรรมชั่ว เป็นของตัวเอง ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้



 


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
กฎแห่งกรรมนั้นมิต้องมีผู้ใดควบคุมมัน
เพราะกรรมเวรของผู้ใดที่ก่อขึ้น
มันจะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นรูปวงกลม
โดยมันจะกระจายตัวออกไปทุกทิศทาง
จนกว่าจะสุดขอบเอกภพ

จากนั้นมันก็จะเกิดการวกกลับของคลื่น
เพื่อย้อนคืนสู่จุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือน
หรือจุดที่ให้กำเนิดคลื่นพลังงานกรรมนั้นเสมอ
ใครเป็นผู้ให้กำเนิดคลื่นแห่งกรรมนั้น
คนผู้นั้นก็จักต้องรอวันรับผิดชอบมันสถานเดียว
ดั่งที่เราเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลายเอาไว้ว่า
"กรรมดีกรรมชั่ว เป็นของตัวเอง
ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้"
ดังนั้น
ท่านจึงต้องรู้ว่า
การกระทำกรรมใดๆไม่ว่าดีหรือร้ายในชาตินี้
มันจักส่งผลเป็น "เวรกรรม"
ให้ท่านต้องรับผิดชอบมันในชาติหน้าเสมอ
การกระทำใดๆของท่านในชาตินี้
จึงเสมือนหนึ่งว่าท่านได้เขียนบทละคร
เอาไว้ให้ตนเองต้องเผชิญต้องแสดง
ในภพชาติหน้านั่นแหละ
ถ้าท่านไม่ปรารถนาที่จะมีชะตากรรมแบบใด
ก็จงอย่ากระทำอะไรๆที่มันจะส่งผลให้
ท่านต้องประสบกับชะตากรรมแบบนั้นๆ
ในภพชาติหน้ากันเถิดนะ
ผู้รู้แจ้งในเรื่องนี้ดีแล้ว
จะไม่เขียนบทละครแบบโง่ๆ
เอาไว้ให้ตนเองต้องเผชิญ
อย่างสากรรจ์หรอกนะท่าน
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-2-2016

พระโอวาทพระบิดา ทรงเมตตาชี้ทางทำกรรมให้โมฆะ ครั้งที่228


 
 
 
พระโอวาทพระบิดาวันนี้ ครั้งที่ 228
ทรงเมตตาชี้ทางทำกรรมให้โมฆ
ทรงแนะวิธีป้องกันการก่อกรรมใหม่
ด้วยวิธีตัดกรรมแบบง่ายๆ

ทรงแนะวิธีชดใช้กรรมด้วยความมีสำนึก
ทรงแนะวิธีสอบผ่าน
บททดสอบพันธะสัญญากรรม
ระหว่างผัวเมียพ่อแม่ลูกหลานในครอบครัว

เมื่อกรรมใหม่ไม่ก่อ
กรรมเก่าก็มุ่งแก้ไข
ตายไปแล้วในภพชาตินี้
ก็ไม่มีหน้าที่จักต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่อีก
กงล้อแห่ง "กรรมจักร" มันจะไม่หมุนอีกตลอดไป

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-2-2016

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ความหมายของคำว่า "ไถ่บาป"


 



เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ภารกิจแห่งการเป็นผู้ "ไถ่บาป" ของเรา
เพื่อมวลมนุษย์แห่งโลกเสรีทั้งหลายนั้น
มิได้หมายถึงการขันอาสากลับมา
เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้รับโทษทัณฑ์แทน
ในความผิดบาปของใครๆทั้งหมดทั้งสิ้น

แต่ภารกิจการไถ่บาปของเรา
สำหรับพวกท่านนั้น
คำว่า "ไถ่บาป" หมายถึง
การย้อนกลับมาช่วยให้ท่านทั้งหลาย
ประสบความสำเร็จในการ "คน" ตนเอง
เพื่อการเป็น "มนุษย์" ที่สมบูรณ์

ซึ่งท่านจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อ
ท่านจักต้องเป็นผู้มีความฉลาดทางอารมณ์
ท่านจักต้องเป็นผู้มีความฉลาดทางปัญญา
ท่านจักต้องเป็นผู้มีความฉลาดทางสังคม

ด้วยความฉลาดทั้งสามประการนี้เท่านั้น
ที่มันจะช่วยให้ท่านทั้งหลา
"พ้นไปจากการทำผิดบาป"
ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้อย่างสิ้นเชิง
โดยไม่ก่อกรรมเวรใดๆไว้ในชาตินี้
ให้เป็นเวรกรรมที่จำต้องรับผิดชอบในชาติหน้า

เมื่อภพชาตินี้ท่านว่างไปจากผลกรรมแล้ว
จิตวิญญาณท่านก็ไม่มีความจำเป็น
ที่จะต้องย้อนกลับมาเพื่อรับผิดชอบอะไรอีก
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
ก็จักเข้าถึงสภาวะแห่งการหลุดพ้นได้ในชาตินี้

ดังนั้น
เมื่อเรากลับมาอีกครั้งในภพชาตินี้
เราจึงกลับมาตามคำมั่นสัญญา
เพื่อจะนำพาท่านทั้งหลายกลับบ้าน
กลับไปกราบพระบาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ที่พวกท่านสัญญาต่อพระองค์ว่าจะกลับคืน
เมื่อครบ 6 หมื่นปีโลกแล้ว

ภารกิจของเรา "เพื่อพวกท่าน"
ที่รักพระบิดาและศรัทธาในเร
ท่านที่ทำตัวดั่งเจ้าสาวผู้รอคอยเจ้าบ่าว
ในก่อนกาลสิ้นยุคพลังงานเก่านี้
จึงมีเพียง 3 ประการเท่านั้น คือ

1.เรามาช่วยยกระดับความสามารถ
ในการใช้จิตปัญญาหรือจิตสำนึกของท่าน
ด้วยปฏิบัติการ "ไซโคโชว์"

เพื่อช่วยให้ท่านฉลาดทางอารมณ์
เพื่อช่วยให้ท่านฉลาดทางปัญญา
เพื่อช่วยให้ท่านฉลาดทางสังคม
ด้วยวิธีธรรมชาติ
โดยพระอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า

2.เรามาช่วยยกระดับภูมิธรรมของท่าน
สู่การเรียนรู้ "ธรรมจิตจักรวาล"
ซึ่งเป็นอภิปรัชญาชั้นสูงอันประกอบด้วย
โลกิยธรรม โลกุตรธรรม และอนุตรธรรม
ที่รวมกันอยู่อย่างเป็นหนึ่งเดียว

ด้วยการสื่อถ่ายทอดคลื่นความคิด
ในระบบ "จิตสู่จิต" (Vertical Telepathy)
เป็นพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
มายังโลกเสรีนี้เพื่อชนทุกศาสนา

3.เรามาเตือนท่านเรื่องกาลสิ้นยุค
เรามาแจ้งข่าวสารเรื่องการชำระโลก
ด้วยมหันตภัยพิบัติอันน่าสะพรึง

เรามาเตือนเรื่องพระบิดาทรงพิพากษาโลก
ก่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่

เรามาเตือนเรื่องแผ่นดินโลกหลายส่วน
จะสูญหายไปจากแผนที่ปัจจุบั

เรามาทำหน้าที่ต้อนลูกแกะหลงทางกลับฝูง
เรามาคัดแยกปลาที่มีอนาคตออกจากน้ำ
เรามานำทางเจ้าสาวเข้าสู่ประตูด่านนภาลัย

ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของเร
ที่พระองค์ทรงใช้เรามา

ปฏิบัติการทั้งหลา่ยของเรา
จึงเป็นการช่วยท่านทั้งหลาย
ให้พ้นไปจากการกระทำผิดบาป
ด้วยพลังอำนาจภายในตนเองของท่าน

เรามิได้กลับมาไถ่บาปให้
ด้วยการมารองรับความผิดบาปของใคร
เพราะ "กรรมดี กรรมชั่ว" เป็นของตัวเอง
ใครทำใครก็ได้รับผลกรรมนั้นไป
ทำแทนกันไม่ได้ รับผลกรรมแทนกันก็ไม่ได้

ดังนั้น
การ "ไถ่บาป" คือ การมาช่วยให้ท่าน
ละเว้นการกระทำผิดบาปต่างหา
มิใช่ให้เรามา "รับกรรม" แทนท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-2-2016

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การหมุนกรรมจักร ต่างจาก การหมุนธรรมจักร อย่างไร












อรุณสวัสดิ์.........
พี่ๆน้องๆครอบครัวจิตจักรวาล
รวมทั้งศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อจิตวิญญาณของท่าน
"ขันอาสา" พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
คือ เอกองค์จิตจักรวาล
เดินทางข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้นั้น

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ได้ถือเอาภาระหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ที่จักต้องกระทำให้สำเร็จติดตัวมาด้วย
นั่นคือ "พันธะสัญญา 6" นั่นเอง
(โปรดค้นหาความรู้เพิ่มเติม
เรื่องพันธะสัญญา 6)

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เมื่อเข้าสู่การเกิดเป็นคนสองมิติแล้ว
นับตั้งแต่อายุ 3 ขวบบริบูรณ์

จิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ของกุมารน้อยเช่นท่านนั้น
จะมีจิตตปัญญา
หรือที่พวกท่านเรียกกันว่า "จิตสำนึก"
ให้ท่านใช้ควบคู่กันไปกับจิตสัญชาตญาณ

โดยที่จิตสัญชาตญาณนั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จะเป็นผู้ใช้มันมาตั้งแต่ปฏิสนธิ
เพื่อให้ความมีชีวิตรอดของกุมารน้อย
เป็นความจริงได้ในสองมิติบนโลกเสรีนี้
ซึ่งจิตวิญญาณของท่าน
จะเป็นผู้กำกับบทบาทของสัญชาตญาณเอง
ไปจนจนกว่าท่านจะจบสิ้นอายุขัย
โดยที่จิตหยาบของท่าน
จะเข้าแทรกแซงไม่ได้

ดังนั้น
หน้าที่ของจิตหยาบของท่านในเบื้องแรก
คือการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิด
เพื่อสร้างพลังอำนาจทางจิตปัญญา
ในการแสดงบทบาทของคนสองมิติ
ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้
อันน่ามหัศจรรย์ น่าตื่นเต้น น่าท้าทาย
ของจิตวิญญาณผู้ได้รับโอกาสดีนี้โดยแท้

แต่เนื่องจากว่าเจ้ากุมารน้อยเช่นท่าน
ยังไม่ชำนาญที่จะแสดงบทบาทในสองมิติ
เพราะเป็นผู้มาเริ่มต้นภพชาติใหม่
พระบิดาจึงทรงมีเมตตาให้
ช่างเท็คนิกประจำตัวของท่าน คือ
ท่านพลียะเดี้ยนส์กับท่านอาร์กทอเรี่ยน
ติดตั้งกระบวนการสั่นสะเทือนร่วม
ระหว่างกายสังขารกับจิตวิญญาณ
ที่เป็นระบบ "อัตโนมัติ" เอาไว้ให้ใช้ก่อน

เพียงแค่กุมารน้อยเช่นท่านเรียนรู้ที่จะ
สั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดใัห้เป็น
ก็จะสามารถใช้กระบวนการนี้ได้
โดยอัตโนมัติกันอยู่แล้ว

แต่เนื่องจากว่ากุมารน้อยทุกคน
ยังขาดทักษะในการสั่นสะเทือนทางจิตปัญญา
จึงยังผลให้ท่านทั้งหลายไม่สามารถเข้าถึง
พลังอำนาจทางจิตสำนึกที่แท้จริงได้
กุมารน้อยที่กำลังเริ่มโตใหญ่
จึงสามารถเข้าถึงกระบวนการสองมิติได้
แค่เพียงสั่นสะเทือนทาง "จิตไร้สำนึก" เท่านั้น

ท่านทั้งหลายต้องรู้ด้วยว่า
ถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตปัญญาของท่าน
ด้วยกระบวนการของ "จิตไร้สำนึก"
เมื่อท่านมีอายุสามขวบขึ้นไป
กลไกต่อมไร้ท่อและอวัยวะทั้งหลาย
ที่ถูกติดตั้งเอาไว้ให้มันทำหน้าที่
ในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้
มันจะร่วมกันผลิตสร้าง "พลังงานขยะ"
ในรูปของคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ
ที่ดาวเคราะห์โลกไม่ต้องการ
ในทุกครั้งที่ท่านสั่นสะเทือนจิตไร้สำนึกเสมอ

การสั่นสะเทือนทางจิตไร้สำนึก
มันจะเกิดขึ้นเมื่อตอนที่ท่าน
ใช้อารมณ์รู้สึกหยาบๆรายวัน
สั่นสะเทือนตอบสนองสิ่งเร้าทั้งหลาย
ในอาการของ โทสะ โลภะ และโมหะนั่นแหละ

ในที่นี้เราจึงขอเรียกกระบวนการ
สั่นสะเทือนทางจิตตปัญญา
ในระบบอัตโนมัติของพวกท่านว่า "กรรมจักร"

เมื่อท่านยังสั่นสะเทือนจิตไร้สำนึก
ในระบบอัตโนมัติเป็นกรรมจักรกันอยู่เช่นนี้
ตลอดทั้งวี่วันท่านก็จะผลิตสร้างแต่
พลังงานจิตที่เป็นขยะรกโลก
ขยะที่รกอวกาศออกมาเรื่อยๆ
ซึ่งขยะของท่านนี่เองที่ท่านต้องรับผิดชอบมัน
ด้วยการย้อนกลับคืนสู่การเกิดชาติใหม่
เพื่อกลับมาทำให้มันเป็นกลางทางไฟฟ้า

มันจึงเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลาย
ที่จักต้องเข้า "แทรกแซง" กระบวนการนี้
เพื่อยกระดับแรงสั่นสะเทือนให้สูงขึ้น
โดยเข้าใช้ "จิตรู้สำนึก" แทนเสียให้ได้
หากท่านทำสำเร็จกระบวนการที่เป็นกรรมจักร
จะถูกท่านยกระดับเป็น "ธรรมจักร" ในบัดดล

ถ้าท่านเข้าแทรกแซงได้สำเร็จ
จนหมุนธรรมจักรแทนกรรมจักรได้เมื่อใด
กลไกทางพลังงานในเครื่องยนต์แห่งกรรมท่าน
มันก็จะทำการผลิตสร้างพลังงานจิตด้านบวก
ในรูปคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ในแบบที่ดาวเคราะห์โลกต้องการทันที
เท่ากับว่าท่านหมุนธรรมจักรสำเร็จแล้ว
หรือท่าน "คนตนเอง"
จนเป็นมนุษย์ได้แล้วนั่นเอง

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
มันคือกระบวนการของขันธ์ 5 อย่างไรล่ะท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-2-2016

"กรรมเวร"












พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย

อันว่า "กรรมเวร" นั้นก่อร่างสร้างง่ายยิ่งนัก
หากท่านทั้งหลายมิสำรวมจิต
หากท่านทั้งหลายมิคิดสำรวมกาย
กรรมเวรนั้นจะเกิดขึ้นมาได้เสมอ

เพราะกรรมเวรส่วนใหญ่
เป็นความผิดบาปต่อจิตวิญญาณท่านเอง
อันเกิดจากการ "ก้าวล่วง" ผู้อื่น
ทั้งกาย วาจา และจิตใจ

เราจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
"ผู้อื่น" สำหรับพวกท่านนี้
มิได้หมายเฉพาะเพื่อนบ้านหรือคนอื่นๆหรอก
เพราะการก้าวล่วงให้ผิดบาปนั้น
ไม่เว้นแม้แต่สามี ภรรยา บุตร บริวาร
ซึ่งท่านจะใช้อำนาจบาตรใหญ่
กระทำการเอาแต่ใจ กดขี่ ข่มเหง
ฉ้อฉล เบียดเบียน บดบัง
เพราะเห็นว่าเขาเป็น "คนกันเอง" ไม่ได้

ถ้าท่านเป็นคนทำอะไรตามใจ "อยาก"
มักเอาแต่ใจตัวเองเป็นตัวตั้ง
โดยไม่สนใจอารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการของผู้อื่น

ถ้าท่านมักจะคิด พูด หรือทำอะไร
ไปตามนิสัยเคยชินหรือความเคยตัว
โดยไม่นึกคิดก่อนจะพูดก่อนจะทำ
ตามกฎแห่ง 6 ถูก
ของ "ปริญญา โมเดล" แล้ว

ทุกวี่วันที่ผ่านไป
ท่านจะเป็นคนพ้นกรรม
หรือเป็นผู้อยู่เหนือกฎแห่งกรรมไม่ได้
แม้ท่านจะหลบมุมซุ่มอยู่คนเดียว
ไม่ยุ่งเกี่ยวทางสังคมกับใครๆก็ตาม

เพราะจิตของท่าน
มันสร้าง "กรรมเวร" ให้เกิด "เวรกรรม"
ที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จักต้องรับผิดชอบในรูปของวิบากกรรม
ในภพชาติต่อไปได้เสมอ
ด้วยการกลับมาชำระจิตที่ไม่สะอาดพิสุทธิ์
ให้มันผุดผ่องด้วยตัวท่านเองกันต่อไป

นี่เป็นความจริงบนเส้นทางการหลุดพ้น
ของประดานักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
เช่นท่านฆราวาสทั้งหลายนี่แหละ
ใช่ใครอื่น......

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18=2-2016

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พระบิดา พระบุตร พระจิต









เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

จิตวิญญาณของท่านทั้งหลายนั้น
เดิมเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ซึ่งมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 6 เหลี่ยมมุม
ที่มีความสมดุลภายในตนเอง
โดยจะเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ท่านจึงอาจเรียกจิตวิญญาณของท่านว่า
"กล่องพลังงาน" ก็ได้

จิตวิญญาณของท่านนั้น
เป็นกล่องพลังงานที่แบ่งภาคออกมา
จากตัวตนภาคแรกที่สูงส่ง
ซึ่งมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 11 เหลี่ยมมุม
และเป็นรูปธรรมทางพลังงานเช่นเดียวกัน
โดยที่รูปธรรมซึ่งเป็นตัวตนภาคแรก
ของดวงจิตวิญญาณที่ว่านี้
พวกท่านแต่ละคนล้วนมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น

การที่ตัวตนภาคแรกของท่าน
ซึ่งดำรงอยู่ในแดนสุญญตานอกระบบเอกภพ
ทำการแบ่งภาคออกมาเป็นจิตวิญญาณ
ก็เพื่อมอบหมายให้เดินทางข้ามมิติเข้ามา
ทำหน้าที่แทนตนเองในระบบโลกเสรี
ในบทบาทของคนสองมิติ
คือ ทำหน้าที่ทางโลกด้านกายภาพ
กับทำหน้าที่ทางพลังงานด้านจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็น "มิติคู่ขนานกัน" นั่นเอง

ในยุคสมัยแห่งองค์เยซูคริสต์เจ้านั้น
พระองค์ทรงเรียกรูปธรรมทางพลังงาน
ซึ่งเป็น"ตัวตนภาคแรก" นี้ว่า "พระบุตร"
และทรงเรียกรูปธรรมจิตวิญญา
ที่เดินทางข้ามมิติ
มาเกิดเป็นมนุษย์ว่า "พระจิต"

ส่วนผู้ให้กำเนิดพระบุตรนั้
องค์เยซูคริสต์ทรงถวายพระนามไว้ว่า
"พระบิดา" "พระเจ้า" และ"พระผู้สร้าง"
ซึ่งหมายถึง "องค์จิตจักรวาล" ในยุคนี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17-2-2016

ผู้กล่าวพระโอวาท " ในพระนามของพระองค์









เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
หรือ องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
พระผู้ทรงเป็นใหญ่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง
ได้ทรงกำหนดให้ผู้เป็น "พระศาสดา"
แบ่งตามบทบาทหน้าที่ได้เป็น 2 ประเภท

ศาสดาประเภทแรก คือ
"พระศาสดา" ที่แสดงบทบาทของ
ผู้นำทางจิตวิญญาณ
ที่ประชาชาวโลกยอมรับให้เป็นครู
เพราะว่าเป็นผู้รู้จริงรู้แจ้ง
เป็นผู้เข้าถึงแสงสว่างทางจิตวิญญาณได้

ศาสดาประเภทที่สอง คือ
"พระศาสดา" ที่องค์จิตจักรวาล
หรือพระผู้เป็นเจ้า หรือพระเจ้า
หรือว่าพระบิดา
ทรงมอบหมายให้
เดินทางเข้ามาจุติเป็นมนุษย
เพื่อทำหน้าที่ "กล่าวพระโอวาท"
ในพระนามของพระองค์

ด้วยการสื่อสารกับพระองค์ในระบบจิตสู่จิต
ได้ในทุกที่ ทุกหนแห่ง ทุกเวลา บนดาวโลกนี้
เพื่อน้อมนำเอา "พระอนุตรธรรม" อันยิ่งใหญ่
จากฝั่งฟ้าลงมาแบ่งปันให้แก
พี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีนี้
โดยพระบิดาจะทรงเรียกตัวแทนพระองค์
ที่ทรงใช้ให้เข้ามาทำหน้าที่สำคัญนี้ว่า
"บุตรเอกแห่งบิดา"

ดังนั้น
คำว่า "บุตรเอก" จึงหมายถึง "พระศาสดา"
ผู้ทรงใช้ให้มาทำหน้าที่แทนพระองค์
บนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้

ส่วนคำว่า "พระบุตร" นั้น
ทรงหมายถึงจิตจักรวาลดวงเล็
ผู้เป็นตัวตนภาคแรกที่สูงส่
ของพระจิตหรือจิตวิญญาณมนุษย์นั่นเอง

เราจึงขอกล่าวความจริงให้ท่านได้รู้
เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องนี้
ตลอดกาลนิรันดร์

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-2-2016

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ทุกพระองค์ ทรงรู้จริงรู้แจ้งในปรมัตถธรรม







"หากทุกพระองค์
มิทรงรู้จริงรู้แจ้งในปรมัตถธรรม
โดยมิทรงสามารถล่วงรู้
ด้วยปัญญาญาณบารมี

โดยมิทรงสามารถหยั่งรู้
ด้วยอนุตรญาณบารมี

ไหนเลยที่พระผู้ประเสริฐทั้งหลายนั้น
จักทรงเป็นพระศาสดาแห่งโลกเสรีนี้ได้

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย
จงรับรู้ไว้แก่ใจตน"

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-2-2016

ความหิว กับ ความอยาก ต่างกันยังไง





เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
การหิวข้าว กับการอยากทานข้าว
มันไม่เหมือนกัน
ความหิวของท่าน
เป็นอาการของสัญชาตญาณ
ซึ่งกำกับดูแลโดยจิตวิญญาณ
จิตหยาบของท่านจะเข้าไปแทรกแซงมิได้
แต่การอยากทานข้าว
ทั้งๆที่ท่านยังมิได้หิวเลยนั้น
แสดงว่าจิตของท่านมีการปรุงแต่งขึ้นมา
โดยอาจได้กลิ่นอาหาร
โดยอาจแลเห็นอาหาร
แล้วทำให้เกิดความรู้สึกถูกตาต้องใจ
จนไปกระตุ้นต่อมอยากเข้าให้
ดังนั้น
ถ้าเห็นหรือได้กลิ่นอาหาร
แล้วเกิดอาการ "อยากทาน" ขึ้นมา
ทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาหิว
ก็จงรู้ว่าจิตท่านสั่นสะเทือนเป็นตัณหาแล้วล่ะ
แต่การรู้สึกว่าหิวท้องร้องจ๊อกๆๆๆ
โดยท่านมิได้เสแสร้งนั้น
ท่านก็จงรับรู้ไว้ว่านั่นมันมิใช่ตัณหาหรอกนะ
เพราะมนุษย์ทุกคน "หิวเป็น" ด้วยกันทั้งนั้น
พระศาสดา พระอรหันต์ ใครต่อใคร
ก็ต้องหิวกันทั้งนั้น
ไม่อยากหิวก็ต้องหิว
ไม่อยากถ่ายหนักก็ต้องถ่าย
ถ้ามันถึงเวลาวาระนั้นๆแล้ว
ใครที่ยังสับสนอยู่
ก็จงทำเร่งความไม่รู้ให้กระจ่างเสีย
โดยเฉพาะนายคนที่ชื่อประหลาดๆคนนั้น
จักต้องทบทวนใหม่ให้จงหนักเลย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-2-2016

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

นิพพาน - ปรินิพพาน










เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าคำว่า "นิพพาน" หมายถึง

1.การดับการเกิดดับของทุกสิ่ง
ด้วยจิตปัญญาของมนุษย์แล้วอย่างสิ้นเชิง
สำหรับดวงจิตธรรมญาณ
ผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์นั้น

2.การมีศักยภาพในตนเอง
มากพอที่จะดีดตนเอง
ออกไปจากระบบเอกภพ
เพื่อหนีแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของทุกสรรพสิ่ง
จนสามารถเป็นอิสระได้อย่างเสรีแล้ว
อันหมายถึง "หลุดพ้น" ได้นั่นเอง

3.การพร้อมเดินทางย้อนคืน
กลับสู่แดนสุญญตาที่อยู่นอกระบบเอกภพ
อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ
ซึ่งจากมานานแสนนานได้แล้ว

ดังนั้น
รูปธรรมจิตวิญญาณใดก็ตาม
เมื่อสามารถเดินทางกลับออกไปได้แล้ว
หากมีภารกิจทางจิตวิญญาณ
จักต้องย้อนคืนกลับเข้ามาสู่โลกเสรีนี้อีก
ก็จักสามารถย้อนกลับสู่การเกิดใหม่ได้
ดังเช่นองค์เยซูคริสต์เจ้า เป็นต้น

แต่ถ้าดวงจิตวิญญาณนั้น
มีปณิธานเอาไว้ล่วงหน้าว่า
ถ้าตนสามารถหลุดพ้นหรือนิพพานได้แล้ว
จักไม่ขอย้อนกลับมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อประกอบภารกิจทางจิตวิญญาณใดอีก
จิตวิญญาณรูปธรรมนั้นก็สามารถร้องขอได้
สภาวะการหลุดพ้นเช่นนี้
เรียกว่า "ปรินิพพาน" นั่นแล

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12-2-2016

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ความสำรวม เป็นเครื่องมือชั้นดี








เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

สาเหตุหลักประการหนึ่ง
ซึ่งยังผลให้แก่นแท้ของท่านกลับบ้านไม่ได้
เพราะ "จิตไม่ใส ใจไม่สวย"
นั่นคือ พฤติกรรมการ "ก้าวล่วง" ผู้อื่น

"การก้าวล่วง" หมายถึง
พฤติกรรม "การก้าวก่ายและล่วงเกิน" ผู้อื่น
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของท่าน
ทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวได้เสมอ

การ "ก้าวก่าย" หมายถึง
การกระทำใดๆที่มิใช่หน้าที่ของตนเอง
แต่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้อื่น
จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นนั้นเกิดการเสียสมดุลไป
ทั้งทางโลกและทางจิตใจ

ตัวอย่างเช่น.....
การบังคับจูงใจผู้อื่นให้จำต้องทำ
ในบางสิ่งที่ท่านต้องการ
ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด
ไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาป
โดยที่คนผู้นั้นเขาไม่เต็มใจที่จะกระทำ

ตัวอย่างเช่น.....
การจับสัตว์อันควรอยู่ตามธรรมชาติ
อันควรมีชีวิตเสรี
มากักขังหน่วงเหนี่ยวไว้
เพื่อดูเล่นหรือเป็นเพื่อนแก้เหงา
จนเขาไม่อาจดำเนินชีวิตไปตามธรรมชาติได้

ตัวอย่างเช่น......
การใช้อำนาจเหนือ
เพื่อตัดสินใจกระทำบางสิ่งแทนคนอื่นๆ
ทั้งๆที่เจ้าตัวเขามิได้ร้องขอหรือยินยอม
จนทำให้เขาสูญเสียสิทธิ
หรือเกิดการผิดพลาดจนทำให้เขาเสียหาย

ตัวอย่างเช่น.....
การนินทาว่าร้ายผู้อื่น
ด้วยการนำเอาเรื่องส่วนตัว
ซึ่งเป็นความลับของเขา
ไปขยายต่อบุคคลที่สาม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือใส่ร้ายเขาก็ตาม
จนทำให้เขาต้องอับอายขายหน้า
หรือว่าเสื่อมเสียความน่าเชื่อถือทางสังคม

ส่วนการ "ล่วงเกิน" ผู้อื่นนั้น
หมายถึงการกระทำใดๆในมิติของจิตใจ
ซึ่งท่านสั่นสะเทือนมันอยู่แต่ข้างใน
โดยผู้ที่ถูกท่านล่วงเกินนั้นเขาไม่รู้ไม่เห็น

การล่วงเกินผู้อื่นในมิติแห่งจิตนี้
เป็นการกระทำผิดบาปผ่าน "จิต 3 นึก"
อันประกอบด้วยพฤติกรรมต่อไปนี้ คือ
นึกได้ นึกเอา และนึกเอง

"นึกได้" หมายถึง
การที่ท่านยังใส่ใจจดจำ
แต่ความไม่ดีงามของผู้อื่นอยู่เนืองๆ
ไม่ว่าความไม่ดีงามของเขาคนนั้น
ท่านเป็นผู้ถูกเขากระทำมาโดยตรง
หรือเป็นการรับรู้มาแบบเขาเล่าว่าก็ตาม

การนึกได้หรือจำได้แต่เรื่องลบๆ
มันจะมีผลต่อสภาวะจิตของท่าน
ให้สั่นสะเทือนไปในทางต่ำลง
ที่เรียกว่า "จิตตก" นั่นแหละ
บ่อยๆเข้าจิตของท่านก็จะเสื่อมพลังอำนาจ

"นึกเอา" หมายถึง
การที่ท่านสร้างนิสัยไม่ดีให้กับตนเอง
ด้วยการเป็นคนมองผู้อื่นในแง่ร้าย
เช่น ชอบคิดลบต่อผู้อื่นล่วงหน้า
ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าเขาคนนั้น
จะเป็นลบอย่างที่คิดจริงหรือไม่

พอคิดลบต่อเขาแล้วท่านก็จิตตกทันที
เสมือนท่านค้นพบความจริงได้ว่า
เขาคนนั้นเป็นลบต่อท่านแล้วจริงๆ

คนที่วิตกจริต
คือคนที่ชอบคิดลบเสียล่วงหน้า
แล้วพาให้ตนเองจิตตก
ทั้งๆที่เหตุการณ์นั้นยังมาไม่ถึง

คนขี้ระแวง
คือคนที่ชอบคิดลบต่อผู้อื่นสิ่งอื่น
แล้วปักใจเชื่อว่าที่ตนคิดนั้น
เป็นความจริง เป็นเรื่องจริงแน่
จนทำให้ตนเองเสียสมดุลทางจิตใจ
ยังผลให้ขาดความผาสุขในการดำเนินชีวิต

คนสองจำพวกนี้
เป็นตัวอย่างของคนที่บกพร่อง
ด้านการนึกของจิต
ในกรณีของการ "นึกเอา" นั่นเอง

ส่วนกรณีการ "นึกเอง"
หรือนึกเอาเอง
อันเป็นจิตนึกตัวที่สามจนรวมเรียกว่า
"จิตสามนึก" หรือ "จิตสำนึก" นั้น
หมายถึง การที่จิตของท่าน
ชอบจะไปเที่ยวคิดแทนคนนั้นคนนี้
แบบคิดเองเออเอง
บางครั้งก็คิดผิด บางครั้งก็คิดถูก

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
การนึกเอง หรือ "คิดแทน" คนอื่นน่ะ
มันเป็นพฤติกรรมการล่วงเกินทางจิต
ในมิติของแก่นแท้โดยตรง
ซึ่งเป็นความประพฤติ
ที่ขัดต่อหลักธรรมชาติของสรรพสิ่ง
ในจักรวาลของจิตจักรวาลคือพระบิดา

โดยที่ทุกสรรพสิ่งจักต้องดำรงอยู่ร่วมกัน
ด้วยหลักแห่งการสมดุลกันเสมอ

แต่ละสรรพสิ่งแม้จะมีอำนาจในตนเอง
แต่ก็จะไม่ใช้อำนาจนั้น
ไปกระทำต่อสรรพสิ่งอื่นให้เสียสมดุล
แต่จะใช้อำนาจของตนนั้นรักษาดุลยภาพ
ระหว่างตนเองกับสรรพสิ่งอื่นๆเอาไว้เท่านั้น

ดังนั้น
การนึกเองหรือคิดแทนคนอื่น
ที่ปกติแล้วมันมักจะเป็นไปในทางลบ
ก็ยังผลให้สภาวะจิตของท่านเสื่อมลง
ได้อีกเช่นกัน

เราจึงจะขอกล่าวความจริงเอาไว้ว่า
ถ้าท่านไม่ประสงค์จะทำร้ายจิตท่านเอง
จนเป็นอุปสรรคต่อการกลับบ้านคือนิพพาน
ก็จงหยิบเครื่องมือชิ้นหนึ่งขึ้นมาใช้
เราขอเรียกเครื่องมือชิ้นนี้ว่า "ความสำรวม"

เพราะความสำรวมก็คือ "การระวังจิต"
มิให้มันสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก
ไปในทางต่ำที่ไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรม
โดยที่ท่านจะต้องตื่นรู้เพื่อควบคุมมันไว้เสมอ
เพื่อมิให้มันออกนอกลู่นอกทางง่ายๆ
มันคือการใช้วิธี "จิตคุมจิต" นั่นแหละ
หากท่านหมั่นฝึกสำรวมไว้เป็นประจำ
เดี๋ยวก็จะกลายเป็นธรรมชาติได้เอง
แรกๆก็อาจสำรวมยากหน่อย
เพราะจิตมันติดสันดานเดิมที่ไม่ถูกต้องอยู่

ใครอ่านมาถึงตอนนี้...
แล้วบ่นว่า "ยาวจัง" จน "นั่งเบื่อ"
หรือเลิกอ่านเลิกเรียนรู้ทั้งๆที่ยังไม่จบความ
แสดงว่าไม่มีปณิธานแห่งนิพพาน
มันเป็นการพิพากษาตนเองโดยแท้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-2-2016

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อยาก กับ ไม่อยาก










เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ความต้องการที่จะประสบผลสำเร็จ
หรือ "อยาก" จะประสบความสำเร็จนี้
เป็นอีกหนึ่ง "ความอยาก"
ที่สามารถจะเป็นจุดอ่อนของท่าน
ให้มารชักพาหลงทางได้อีกจุดหนึ่ง

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ถ้าพิจารณาแต่คำตรงๆ
คือ "อยากสำเร็จ" หรือว่า "อยากชนะ"
ท่านก็อาจแลไม่เห็นข้อพิรุธของจิต

เพราะใครๆก็รู้ว่า
ความสำเร็จหรือชัยชนะนั้น
มันเป็นของต้องประสงค์ของคนส่วนใหญ่
ใครๆก็ปรารถนาด้วยกันทั้งสิ้น

เราจึงขอกล่าวความจริง
เพื่อขยายความต่อท่านทั้งหลายว่า

ในมิติโลกทางกายภาพนั้น
ทุกสรรพสิ่งทุกเรื่องราว
ล้วนมีให้มองให้พินิจพิจารณากัน
อย่างน้อย 2 ด้านที่ตรงข้ามกันเสมอ
เช่น ดีกับชั่ว ชนะกับแพ้
สำเร็จกับล้มเหลว เป็นต้น
รวมทั้ง "อยากกับไม่อยาก" ด้วย

กรณี "อยากสำเร็จ" ก็เช่นกัน
สิ่งตรงข้ามก็คือ "ไม่อยากล้มเหลว"
ความไม่อยากล้มเหลว
เสมอกับ "กลัวว่าจะไม่สำเร็จ" นั่นเอง

ท่านรู้หรือไม่ว่า ถ้าจิตของท่าน
สั่นสะเทือนเป็น "อยากสำเร็จ" หรืออยากชนะ
มันคือการสั่นสะเทือนทางด้านบวก

เมื่อจิตมีคุณสมบัติทางด้านบวกคือด้านดี
จิตก็ย่อมขับเคลื่อนกระบวนการคิดของสมอง
ไปทางด้านบวก คือ การคิดบวก
เมื่อจิตกับสมองสั่นสะเทือนร่วมกันด้านบวก
ท่านก็จะแสดงพฤติกรรมด้านบวกออกมา
เป็นกายกรรมหรือวจีกรรมที่พึงประสงค์ในที่สุด

ในทางกลับกันกับที่กล่าวมา
ถ้าหากว่าท่านมีจริตเป็นลบ
โดยเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายเป็นทุนอยู่แล้ว
ในเรื่อง "การอยากสำเร็จ" นี้
มันก็จะเปลี่ยนแปรไปเป็น "กลัวล้มเหลว"
หรือว่า "กลัวจะไม่สำเร็จ" แทน

ท่านรู้หรือไม่ว่า ถ้าจิตของท่าน
สั่นสะเทือนเป็น "กลัวจะล้มเหลว"
หรือว่า "กลัวจะไม่สำเร็จ"
มันคือการสั่นสะเทือนของจิตทางด้านลบ
ท่านก็จะแสดงพฤติกรรมด้านลบออกมา
เป็นกายกรรมหรือวจีกรรมที่ไม่เหมาะสม

พฤติกรรมทางกายที่ไม่เหมาะสม
มักอยู่ในรูปของ "วิชามาร" นั่นแหละ
เช่น เอาเปรียบ เบียดเบียน ฉ้อฉล ฯลฯ
ส่วนวจีกรรมที่ไม่้เหมาะสมนั้น
คงหนีไม่พ้น "การโกหก" ปลิ้นปล้อน
ตลบแตลง การพูดไม่ตรง ฯลฯ

พฤติกรรมด้านลบเหล่านี้
ล้วนมีสาเหตุมาจากความไม่อยาก
ที่แสดงออกมาจาก "ความกลัว" ทั้งสิ้น

ถ้าท่านแสดงพฤติกรรมด้านลบ
จากสภาวะจิตด้านลบเช่นนี้
เท่ากับว่าท่านได้กระทำผิดบาป
ต่อจิตวิญญาณของท่านเองแล้ว
มันจะถูกบันทึกรหัสเป็น "บุรพกรรม"
หรือที่ท่านรู้จักกัน
ในนามวิบากกรรมนั่นเอง

หากยังมีวิบากกรรมค้างคาให้ต้องแก้ไข
แล้วจะกลับบ้านในสภาวะนิพพาน
ได้อย่างไรกันล่ะ....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-2-2016

มารในตนเอง







พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะขอยกตัวอย่าง "จุดอ่อน" ของท่าน
ที่สามารถจะตกเป็นทาสของมาร

โดยเฉพาะมารภายในจิตใจของท่านเอง
อันเป็นจุดอ่อนจุดหนึ่ง คือ
"ความอยากกับไม่อยาก"
มาให้ท่านได้เรียนรู้โดยทั่วกันว่า

1.ถ้าท่านสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดก็ตาม
แล้วสั่นสะเทือนทางจิตใจ
จนเกิดเป็น "ความรู้สึก" ขึ้นมาเมื่อไหร่

2.จิตท่านจะใช้ "ความรู้สึก"
ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้น
เป็นเงื่อนไขให้จิตเอง
เกิดการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องต่อไป
จนเกิดเป็น "ความอยาก" ขึ้นมาได้

3.ตัวความรู้สึก ในข้อ 1.นั้น
จิตมักอยู่ในอาการที่เรียกว่า

ชอบ กับ ไม่ชอบ
พอใจ กับ ไม่พอใจ
ยืนดี กับ ไม่ยินดี
เร้าใจ กับ ไม่เร้าใจ
......เป็นต้น

ความรู้สึกเหล่านี้นี่แหละ
ที่จะเป็นเงื่อนไขของจิตให้สั่นสะเทือนต่อ

จนเกิดเป็น "อยาก" เพราะชอบ
เกิดเป็น "ไม่อยาก" เพราะไม่ชอบ

เกิดเป็น "อยาก" เพราะพอใจ
เกิดเป็น "ไม่อยาก" เพราะไม่พอใจ

เกิดเป็น "อยาก" เพราะยินดี
เกิดเป็น "ไม่อยาก" เพราะไม่ยินดี

เกิดเป็น "อยาก" เพราะเร้าใจ
เกิดเป็น "ไม่อยาก" เพราะไม่เร้าใจ
........เป็นต้น

4.ถ้าจะเข้าใจง่ายขึ้นสำหรับท่าน
ที่มีปูมหลังทางธรรมะ
เราก็จะกล่าวง่ายๆให้ฟังว่า

"ความรู้สึก" ก็คือ "กิเลส" นี่แหละ
มันจะเป็นบ่อเกิดแห่ง "ตัณหา"
ซึ่งเป็น "ความอยาก-ไม่อยาก" ของจิต
เสมือนเป็นฝาแฝดกันเลยทีเดียว

กล่าวคือ......
ถ้าจิตท่านเกิดกิเลสขึ้นมาเมื่อไหร่
อาการของจิตที่เรียกว่า "ตัณหา"
มันก็จะปรากฏตัวตามมาเมื่อนั้น
เพราะมันเป็นของคู่กัน
กิเลสอยู่ที่ไหน
ตัณหาก็จักอยู่ตรงนั้น

5.เราคงมิพักต้องเปรียบเทียบหรอกว่า
ระหว่าง "กิเลส" คือ ความรู้สึก
กับตัว "ตัณหา" คือ ความอยากนั้น
ตัวไหนน่ากลัวกว่ากัน

ขอท่านรู้แต่เพียงว่า
ทั้งสองตัวนี่แหละคือ "มารภายใน"
เพราะเมื่อใดที่จิตเกิดความอยากแล้ว
หากไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "กฤตสติ" ค้ำจุน
จิตของท่านมันจะสั่งการให้สมองสั่งกาย
ให้ทำตามที่ "จิตอยาก" นั้นต้องการเสมอ

ดังนั้น
ตัวที่น่ากลัวก็คือ "มารภายใน"
อันหมายถึง "จิตอยาก-ไม่อยาก" นี่เอง

6.คนที่ตกเป็นทาสของความอยากนั้น
เมื่อถูกกระตุ้นหรือปลุกเร้า
ให้เกิดกิเลสแล้ว
ก็มักจะทำอะไรตามใจตนเอง
ไม่แคร์อารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการ
ของใครๆทั้งสิ้น

นึกอยากพูดอะไรก็พูด
ไม่อยากพูดก็ไม่พูด

นึกอยากทำอะไรก็ทำ
ไม่อยากทำก็ไม่ทำ เป็นต้น

นอกจากนั้น
ถ้าถูกขัดใจเมื่ออยากหรือไม่อยาก
จิตนั้นก็จะสั่นสะเทือนลงไป
ในทางต่ำยิ่งกว่าเดิมอีก
คือเกิด "โทสะจริต" จำพวก
โกรธ เกลียด เคียดแค้น ขุ่นเคือง เป็นต้น

อาการทางจิตที่เกิดขึ้นดังว่ามานี้
มันเกิดจากจิตไม่ใสใจไม่สวย
เพราะจิตขาดคุณสมบัติอันวิสุทธิ์
จึงยังมิอาจบรรลุมรรคผลสูงสุด
คือเข้าถึงสภาวะนิพพานได้

นอกจากนั้น...
เจ้ามารภายใน คือ อยากกับไม่อยากนี่แหละ
หากท่านไร้ "มหาสติ"
มันก็จะแอบออกไปสมคบกับ "มารภายนอก"
ซึ่งคราวหน้าเราจะสยายให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
จนยิ่งทำให้ท่าน "ตกบันไดนิพพาน" กัน
เหมือนเช่นทุกวันนี้นั่นเอง

ดังนั้น
คนที่ชีวิต "ติดอยากกับไม่อยาก"
อันเกิดจากมารภายในตนเอง
ก็คือคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้
ที่มิอาจนำพาแก่นแท้ของตนกลับบ้าน

กลับคืนยังแดนสุญญตา
ที่ตนจากมาตั้งนานแล้วได้นั่นเอง
หมายรวมถึงผู้ใดกันบ้างล่ะเนี่ย?

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-2-2016

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

มารก็รู้ธรรมมะ








ขณะที่ทรงใช้เรามา
เพื่อทำการคัดปลาออกจากน้ำ
เพื่อนำลูกแกะหลงทางกลับสู่ฝูง
เพื่อมาจูงเจ้าสาวเข้าสู่ประตูวิมาน ณ ด่านนภาลัย
เพื่อกลับมาทำหน้าที่ตามที่ให้สัญญาไว้

พลัน.....ดาวโลกเสรีนี้
ก็จักมีการล่าสาวกเกิดขึ้นไปทั่ว

จงหยิบปัญญามานิพพาน
จงอย่าได้หูเบา
จงอย่าได้ใจเบา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-2-2016

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อุปสรรคขวากหนามบนเส้นทางชีวิตสู่นิพพาน








เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อโลกเริ่มเข้าสู่โหมดของการชำระ
อย่างเต็มรูปแบบแล้วนี้
หนึ่งในหลายสิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงระวังก็คือ
การถูกมารหลอกลวงให้หลงทาง
"มาร" คือ ผู้ที่ทำตนเป็นอุปสรรคขัดขวาง
เพื่อถ่วงรั้งให้ท่านมิอาจเข้าถึงนิพพานได้ง่ายๆ
โดยจะใช้วิธีโจมตีจุดอ่อนของท่าน
ซึ่งคนส่วนใหญ่นั้น
จุดอ่อนจะมีอยู่ด้วยกัน 9 จุด คือ
1.ความไม่รู้
2.ความไม่ฉลาด
3.ความลุ่มหลงงมงาย
4.ความอยากรู้อยากเห็น
5.ความอยากรวย
6.ความต้องการที่จะประสบผลสำเร็จ
7.ความกลัว
8.ความลี้ลับมหัศจรรย์
9.ความหัวอ่อน เชื่อง่าย
ถ้าท่านไม่ต้องการตกเป็นเหยื่อมาร
ก็จงครอง "มหาสติ"
ที่เรียกว่าธรรมชาติสมาธิให้มั่นคงไว้
แล้วพิจารณาตนเองว่า
ควายทั้ง 9 ตัวที่กล่าวไว้ข้างต้นน่ะ
ท่านเลี้ยงตัวไหนเอาไว้บ้าง
เมื่อพบตัวหนึ่งตัวใดก็ตาม
ก็จงเร่งกำจัดจุดอ่อนนั้นเสีย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-2-2016

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อภิปรัชญา: (Pure-meta physics) "ศาสตร์แห่งจักรวาล"









อภิปรัชญา: (Pure-meta physics)
"ศาสตร์แห่งจักรวาล"
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า...
"เวรกรรม"
นั้นมีจริง
"เวรกรรม"
ตอบสนองผู้กระทำหรือผู้ก่อได้
"เวรกรรม" ยังผลให้หรือเป็นเหตุให้
เกิดกฎแห่งกรรม
จนนำไปสู่การมีสังสารวัฏของคนๆนั้นได้
เพราะเหตุว่า....
1.ผลกรรมลบ อันเกิดจาก "มโนกรรมลบ"
เป็น "ผลิตผล" ของจิต ในมิติทางพลังงาน
ที่ท่านทั้งหลายเป็นผู้ผลิตสร้างกันขึ้นมา
ในทุกครั้งที่ท่านเกิดการสั่นสะเทือน
เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
อันเกิดจากจิตเสียสมดุลไปเพราะถูกยั่วยุ
ซึ่งผลกรรมลบนี้
จะมีตัวตนรูปลักษณ์เป็นคลื่นความถี่
จะมีน้ำหนักมวลทางพลังงาน
จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบ
จะมีคุณสมบัติแห่ง "กรรม" ที่ก่อกำกับไว้ด้วย
2.ผลกรรมลบใดที่ท่านก่อขึ้น
ในรูปคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กนี้
นอกจากท่านจะนำมันนอกมาแสดง
เป็นพฤติกรรมภายนอก
คือ กายกรรม กับวจีกรรม แล้ว
จิตของท่านจะขับเคลื่อนมันออกมา
ในรูปของพลังงานกรรมตามข้อ 1.นั้นด้วย
3.คลื่นความถี่ของพลังงานกรรม
ที่เราเรียกว่า "กรรมเวร" นี่แหละ
เมื่อมันถูกขับเคลื่อนออกมานอกกายสังขาร
มันก็จะสั่นสะเทือนเคลื่อนไหลออกไป
บนสนามพลังงานของจักรวาล
ซึ่งโอบอุ้มหุ้มห่อทุกสรรพสิ่งเอาไว้
อันหมายรวมทั้งตัวของท่านเองด้วย
โดยมันจะกระจายออกไปจากตัวท่านทุกทิศ
ในรูปลักษณะของวงกลมคล้ายคลื่นน้ำ
เมื่อยามก้อนหินตกกระทบ
ตราบใดที่จิตท่านยังสั่นสะเทือนเป็นลบอยู่
จิตนั้นก็จะผลิตสร้างคลื่นลบนี้ออกมา
เป็นระลอกต่อเนื่องเรื่อยๆจนกว่าจิตจะสงบ
4.ท่านรู้หรือไม่ว่า....
คลื่นพลังงานกรรมลบหรือกรรมเวรนี้
เมื่อถูกผลิตออกมาแล้วไปไหนกัน
คำตอบคือ
มันจะพากันเคลื่อนที่เดินทางพาเหรดไป
จนสุดขอบเขตของจักรวาลใหญ่คือ"เอกภพ"
อันไกลแสนไกลเลยทีเดียว
5.เมื่อคลื่นลบแต่ระลอกใน "กรรมเวร" นั้น
เดินทางไปจนถึงสุดขอบสนามพลังงาน
อันเป็นจักรวาลใหญ่ที่เรียกว่าเอกภพแล้ว
มันก็จะเกิดการสะท้อนกลับหรือ "วกกลับ"
เพื่อเดินทางย้อนคืนกลับมาหาเจ้าของ
ผู้ก่อผลกรรมลบนั้นไว้ซึ่งยังอยู่ในมิติโลก
ให้ได้แสดงความรับผิดชอบมัน
เพื่อทำผลกรรมนั้นให้เป็นกลางหรือโมฆะ
ซึ่งเป็นกรรมวิธีขจัดขยะพลังงานให้พระบิดา
ในลักษณะของ "กรรมใคร ใครกำ"
โดยใครคนนั้นนั่นแหละจักต้องรับผิดชอบ
เราจึงเรียก "กรรมเวรด้านลบ"
ที่สะท้อนกลับมาหาเจ้าของ
ผู้ก่อกรรมนั้นขึ้นไว้ว่า..... "เวรกรรม"
เพราะมันเป็นสิ่งที่ผู้ก่อขึ้นมา
มีหน้าที่จักต้องรับผิดชอบมันสถานเดียว!
6.อีกสาเหตุหนึ่งที่เรียกว่า "เวรกรรม"
ก็เป็นเพราะว่าผู้ก่อผลกรรมลบนั้นขึ้นมา
จักต้อง "รอคอยเวลา" ที่จะรับผิดชอบมัน
เหมือนนักเรียนแบ่งเวรกัน
ดูแลความสะอาดปัดกวาดห้องเรียน
โดยผลัดกันรับผิดชอบคนละวัน
ถ้าใครรับผิดชอบเวรวันจันทร์
เมื่อถึงกำหนดทุกสัปดาห์คนๆนั้นก็ต้องทำ
จะหนีเวรเพื่อหนีความรับผิดชอบไม่ได้
7.สาเหตุที่ "เวรกรรมด้านลบ"
ซึ่งเป็นการสะท้อนย้อนกลับ
ของ "กรรมเวรด้านลบ" ที่กล่าวมานั้น
ต้องใช้เวลานานจนท่านต้องรอคอย
เพราะว่า "คลื่นพลังงานกรรม" ของท่าน
ต้องใช้เวลาเดินทางจากโลก
ไปจนสุดขอบเอกภพเสียก่อน
จึงจะสะท้อนย้อนกลับคืนมาหาท่านได้
เพราะท่านเป็นผู้ผลิตมันขึ้นมา
ระยะทางที่แท้จริงในการเดินทางไป-กลับ
ของพลังงานกรรรม คือ
"แปดล้านหนึ่งแสนล้านไมล์"
คูณด้วย "เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า"
ยกกำลังสอง....
มีหน่วยวัดระยะทางเป็น "ไมล์"
ท่านลองตรองดูสิว่าไกลหรือไม่
มันจึงต้องใช้เวลานาน "ข้ามภพชาติ"
เพราะอายุคนในยุคหลังๆนี้แสนสั้น
เมื่อตายแล้วจึงต้องรีบเกิดใหม่กัน
เพื่อจะได้กลับมารอรับ "เวรกรรม" ที่ก่อไว้
ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรมมิผิดเพี้ยน
8.เราจึงมุ่งสื่อสอนท่านให้ฝึกครองมหาสติ
ให้ท่านจงมีปณิธานแห่งนิพพาน
แล้วให้ท่านพยายามเข้าแทรกแซง
กระบวนการของขันธ์ 5 ที่เป็นกรรมจักรอยู่
เพื่อเปลี่ยนโหมดเป็น "ธรรมจักร" เสียให้ได้
ทำให้สำเร็จโดยพลันในชาตินี้แหละ
ท่านจึงจะนำพาแก่นแท้ของท่านหลุดพ้นได้
เรื่องง่ายๆมันมีเท่านี้
น่าเสียดายที่หลายคนด่วนใจร้อน
มองข้ามคุณค่าคำสื่อสอนจากจิตจักรวาลไป
ทั้งๆที่ตนเองนั้นยังมิทันเข้าใจ
เพียงแต่แค่คิดว่า "ตนรู้แล้ว" เท่านั้นเอง
เราจึงช่วยไถ่บาปให้พวกท่านไม่สำเร็จ
ห้องเรียนเราจึงมีนักเรียนเก่าหลายตน
ละทิ้งโรงเรียนไปเรื่อยๆ
เพราะมองดูว่าครูเสื่อม!
บรรยากาศช่างวังเวงเสียจริงๆ
ไม่ต่างจากโลกนี้ที่จะมีผู้คน
เหลือจากปฏิบัติการชำระโลกน้อยมาก
ในวันนั้นจักเป็น "วันเหลือน้อย"
น้อยเสียจนวังเวง....เลยเชียว...ล่ะ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2-2-2016

อภิปรัชญา: (Pure-meta physics)








อภิปรัชญา: (Pure-meta physics)
"ศาสตร์แห่งจักรวาล"
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
"กรรมเวร" นั้นมีจริง
เพราะเหตุว่า....
1.กรรม หมายถึง การกระทำใดๆของท่าน
อันเกิดจาก "การสั่นสะเทือน" ของจิต
ที่จะกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนของสมอง
เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง
2.เมื่อจิตกับสมองสั่นสะเทือนร่วมกันแล้ว
ก็จะเกิดเป็น "มโนกรรม" คือ การกระทำทางจิต
ที่จะตอบสนองต่อ "เงื่อนไข" ใดๆ
อันเป็นตัวต้นเหตุให้จิตสั่นสะเทือนในข้อ 1.นั่น
3.ส่วนใหญ่แล้ว
การสั่นสะเทือนเป็น "มโนกรรม" นั้น
จิตมักจะถามหา "บุคคล" หรือ "ตัวตน" ที่มีรูปธรรม
เป็นเป้าหมายของ "การตอบสนอง" เสมอ
4.ดังนั้น......มโนกรรม
จึงเป็นพฤติกรรมทางจิต
ที่สั่นสะเทือนตอบสนอง
ต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งยั่วยุ
อันเป็นเงื่อนไขหรือเหตุ
ให้จิตสั่นสะเทือนนั่นเอง
เงื่อนไขให้จิตของท่าน
เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมานั้น
จะมีด้วยกัน 2 ด้าน
คือ เงื่อนไขด้านบวก
ที่ท่านพึงใจต่อผู้นั้นหรือสิ่งนั้น
กับเงื่อนไขด้านลบ
ที่ท่านไม่พึงใจต่อผู้นั้นหรือสิ่งนั้น
5.ในที่นี้.....
เราจะกล่าวเฉพาะด้านลบให้ท่านรู้ว่า
เมื่อใดก็ตามที่ท่านรู้สึกว่าไม่พอใจ
จิตของ่ทานก็จะสั่นสะเทือน
ให้เกิดเป็น "มโนกรรม" ด้านลบ
ในรูปของอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
เพื่อตอบสนองต่อตัวต้นเหตุนั้นเสมอ
6.ผลของมโนกรรมลบที่เกิดขึ้น
มันจะปรากฏเกิดขึ้นใน 2 มิติตามลำดับ
ลำดับแรก:
ผลของมโนกรรมลบนั้นมันจะเกิดขึ้น
ในมิติที่สองตาเปล่าของมนุษย์มองไม่เห็น
เพราะมันจะอยู่ในรูปของ "พลังงาน"
โดยพลังงานจาก "มโนกรรมลบ" นี้
มันจะปราฏอยู่ในรูปลักษณ์ของ
"คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก" ระบบหนึ่ง
ซึ่งจะมี "คุณสมบัติแห่งมโนกรรม" นั้น
บันทึกไว้เป็นคุณสมบัติ
ของคลื่นพลังงานนั้นด้วย
เราจึงเรียก "มโนกรรมทางพลังงาน"
ที่มีคุณสมบัติแห่งมโนกรรมลบ
อันเกิดจากอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
ที่ท่านมีต่อตัวต้นเหตุหรือสิ่งเร้านั้นๆว่า
"ผลกรรมด้านลบ" นั่นเอง
ลำดับสอง:
เมื่อท่านผลิตสร้าง "ผลกรรมด้านลบ"
ให้ปรากฏขึ้นไว้ในมิติแห่งจิตแล้ว
ในขณะเดียวกัน "มโนกรรมลบ"
ซึ่งเป็นการสั่นสะเทือนทางจิตด้านลบนั้น
มันก็จะถูกจิตท่านขับเคลื่อนออกมาภายนอก
ให้ปรากฏผ่านพฤติกรรม
ทางอวัยวะร่างกายต่อเนื่องไปอีกด้วย
เราเรียกมันว่า "พฤติกรรมภายนอก"
โดยพฤติกรรมทางกายภายนอกนี้
จะประกอบด้วย
ภาษากายกับภาษาท่าทาง คือ "กายกรรม"
และที่เป็นภาษาคำพูด คือ "วจีกรรม"
ดังนั้น
ทั้งกายกรรมและวจีกรรม
จึงล้วนเป็น "พฤติกรรมภายนอก" ทั้งสิ้น
7.ผลกรรมลบอันเกิดจากมโนกรรมลบ
ดังที่เราได้สยายความมาตั้งแต่ต้นนี่ไง
คือที่มาของประโยคทอง
ซึ่งหลายท่านพากันท่องเสียจนขึ้นใจจำว่า
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"
โดยจิตของท่านนั้นเมื่อมันสั่นสะเทือน
ทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบแล้ว
มันก็จะสั่งให้อวัยวะร่างกายท่าน
เกิดการสั่นสะเทือนตามทางด้านลบ
ให้เกิดเป็นอากัปกริยาท่าทางและพูด
ที่เป็นพฤติกรรมด้านลบต่อตัวต้นเหตุ
ให้ท่านสูญเสียสมดุลในจิตใจนั้นเสมอ
โดยเกือบจะทันทีทันควันที่จิตตก
เพราะเหตุนี้เองที่ผ่านๆมาเราจึงเรียก
คนที่ต้องเป็นมนุษย์เยี่ยงท่านว่า
"คนสองมิติ" หรือ "มนุษย์ในมิติคู่ขนาน"
8.เมื่อท่านสั่นสะเทือนจิตกับสมอง
จนเกิดเป็น "มโนกรรมลบ" ขึ้นมาเมื่อใด
ถ้าคนที่ท่านแสดงมโนกรรมลบ
ตอบสนองเขาไปนั้นเขาไม่รู้เรื่องด้วย
เพราะว่าท่านแสดงออก
แต่มโนกรรมลบอย่างเดียว
หรือท่านอาจกระทำตอบสนอง
ทางกายกรรมหรือวจีกรรมต่อเขาแล้ว
แต่พวกเขา "อโหสิกรรมให้" ไม่เอาความ
นั่นเท่ากับว่า "มโนกรรมด้านลบ" นั้น
เป็นเพียงการกระทำผิดบาปต่อ "ใจ"
หรือจิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้
ของท่านเองโดยตรงเท่านั้น
แต่ถ้าท่านขับเคลื่อนหรือแสดงมันออกมา
ไม่ว่าจะเป็นทางกายกรรมหรือวจีกรรม
มันก็จะกลายเป็นเงื่อนไขให้จิตของเขา
เกิดการสั่นสะเทือนเป็นลบขึ้นมาได้
เขาก็จะเกิดอาการเสียสมดุลไปทางลบ
ทั้งด้านอารมณ์รู้สึกนึกคิด
จนเกิดเป็น "มโนกรรมลบ" ตอบสนองท่าน
แล้วเขาก็อาจขับเคลื่อนมันออกมา
เป็นกายกรรมกับวจีกรรมลบกระทำตอบ
9.ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
กระบวนการที่เรากล่าวมาตั้งแต่ข้อ 1- ข้อ8
มันคือการ "หมุนกรรมจักร" ร่วมกันนะเอง
วันๆพวกท่านที่สอบตกบททดสอบ
ล้วนร่วมกันหมุนกรรมจักรในลักษณะนี้ทั้งสิ้น
กรรมที่ท่านกระทำต่อกันเหล่านี้
ไม่ว่าท่านจะก่อมันขึ้นมาด้วยมโนกรรม
จนเกิดผลกรรมทางพลังงานมิติเดียว
หรือจะก่อทั้งมโนกรรม วจีกรรม กายกรรมด้วย
มันล้วนแต่เป็น "กรรมเวร" ทั้งสิ้น
10.คำว่า "เวร"
หมายถึงสิ่งที่หรือภารกิจที่จักต้องมีผู้รับผิด
"กรรมเวร" จึงหมายถึงผลกรรมด้านลบใดๆ
ที่ผู้ใดกระทำหรือก่อขึ้นมาผู้นั้นต้องรับผิดชอบ
ถ้าเป็นผลกรรมทางพลังงาน
ผลกรรมนั้นผู้ก่อจักต้องทำให้มันเป็นกลาง
คือ กำจัดคุณสมบัติกรรมลบนั้นเสีย
ให้เหลือแต่พลังงานที่ไร้คุณสมบัติกรรม
เหมือนคลื่นความถี่ทางพลังงานทั่วๆไป
ที่ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ในธรรมชาติ
วิธีทำให้มันเป็นกลางก็คือ
การต้องมาเกิดใหม่
เพื่อ "เผชิญ" กับเงื่อนไขแบบเดิมนั้นใหม่
แล้วสั่นสะเทือนจิตกับสมองให้ถูกต้อง
ด้วยการสั่นสะเทือนอารมณ์รู้สึกนึกคิด
ให้เป็นด้านบวกต่อผู้สร้างเงื่อนไขนั้นให้ได้
ผลกรรมที่เกิดขึ้นมันก็จะมีคุณสมบัติด้านบวก
ซึ่งมันจะทำให้คุณสมบัติเดิมที่เป็นลบ
ของผลกรรมที่ท่านเคยก่อขึ้นไว้นั้น
เกิดความเป็นกลางทางไฟฟ้า
ที่เรียกว่า "โมฆะกรรม" ในมิติแห่งจิตได้
ผลกรรมนั้นจึงไม่มีอีกต่อไป
นั่นคือ จิตจะ "ว่าง" ไปจากสิ่งนั้นอย่างสิ้นเชิง
อันเป็นบันใดสู่ "จิตสุญญตา" โดยแท้
ทั้งหมดที่เราเปิดเผยมาในที่นี้
เป็นคัมภีร์เรื่อง "กรรมเวร" ที่ท่านจักต้องเผชิญ
ในภพชาติถัดไป (ถ้ามี) ในรูปของ "เวรกรรม"
ใครเกียจคร้านในการอ่านทบทวน
เพื่อทำความเข้าใจในสัจธรรมอันลึกล้ำนี้
ในข้อกล่าวหาว่า "ร่ายยาวเกินไป"
นั่นเท่ากับว่าผู้นั้นได้ปฏิเสธการหลุดพ้น
ไปเรียบร้อยแล้ว....
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2-2-2016