วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

กฎแห่งสัจจะ





กฎแห่งสัจจะ:

1.พระบิดาทรงกำหนดให้คลื่นการสั่นสะเทือนใดๆก็ตามที่เกิดขึ้น จากจุดเริ่มต้น จะคลี่คลายขยายตัวออกจากจุดศูนย์กลางหรือจากผู้สร้างการสั่นสะเทือนให้เกิดคลื่นนั้นออกไปโดยรอบ

2.คลื่นการสั่นสะเทือนแต่ละระลอกจะพาเหรดตามๆกันไปเรื่อยๆ จนคลื่นระลอกแรกเมื่อเดินทางถึงสุดขอบของสนามพลังงานของจักรวาล (ขอบของเอกภพ) ก็จะสะท้อนกลับทางเดิมเพื่อเคลื่อนตัวคืนสู่จุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือน หรือสั่นสะเทือนเคลื่อนไหลกลับคืนสู่ผู้สร้างการสั่นสะเทือนให้เกิดคลื่นนั้นเสมอ คลื่นระลอกต่อๆมาก็จะเกิดปรากฏการณ์แบบเดียวกัน

3.จุดใดเป็นจุดเริ่มต้นการสั่นสะเทือนของสิ่งใด จุดนั้นก็จะเป็นจุดสิ้นสุดของการสั่นสะเทือนของสิ่งนั้นๆเสมอ

4.มนุษย์คนใด สร้างแรงสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิตตนเองให้เกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม แรงสั่นสะเทือนของจิตในขณะนั้น จะก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนของสนามพลังงานที่รายรอบตัวเธออยู่ด้วยอัตราความถี่และคุณสมบัติของคลื่นชนิดเดียวกันกับที่เธอผลิตสร้างมันขึ้นมานั่นเอง

คล้ายดั่งการเกิดระลอกคลื่นของน้ำ เมื่อเธอโยนก้อนหินลงไปนั่นแหละ
ถ้าหินก้อนใหญ่ และทุ่มลงไปแรงๆ คลื่นน้ำแต่ระลอกที่กระจายตัวออกไปจากจุดที่หินกระทบน้ำก็จะเป็นคลื่นระลอกใหญ่ เคลื่อนที่ออกไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว

5.ถ้าเธอสั่นสะเทือนจิตใจของเธอแรงๆด้วยคลื่นความถี่ต่ำๆ อันเป็นความถี่ด้านลบจำพวกกิเลสตัณหา คลื่นการสั่นสะเทือนด้วยคุณสมบัติที่ว่านี้ มันก็จะทำให้สนามพลังงานของจักรวาลหรือของเอกภพที่ห่อหุ้มอุ้มโอบตัวเธออยู่ สั่นสะเทือนแรงเป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่ๆกระจายตัวออกไปจนสุดขอบจักรวาล โดยแต่ระลอกคลื่นนั้นมันก็จะพากันสะท้อนย้อนกลับคืนมาสู่ตัวเธอในบั้นปลาย

ถ้าระลอกคลื่นนั้นเคลื่อนขยายกระจายตัวออกไปเร็ว
ระลอกคลื่นนั้นมันก็จะพากันสะท้อนย้อนกลับมาหาเธอเร็ว ในสัดส่วนที่แปรตามกันเสมอ....

นี่แปลความหมายว่า ถ้าเธอสั่นสะเทือนจิตใจเธอจนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดเพื่อการกระทำสิ่งใด เรื่องใด ต่อใครในมิติโลกทางกายภาพหรือในมิติแห่งเนื้อหนังแล้ว แรงสั่นสะเทือนทางจิตของเธอ มันจะยังผลให้เกิดการสั่นสะเทือนของสนามพลังงานจักรวาล นำพาคุณสมบัติของคลื่นที่เธอสั่นสะเทือนมันขึ้นมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี เรื่องเลว กระจายตัวออกไปจากจิตเธอเป็นวงรอบจนสุดขอบจักรวาลเลยทีเดียว

พวกเธอจึงได้เรียนรู้ความจริง ในรูปของ "กฎแห่งกรรม" กันมาตลอดว่า
"ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว"
แล้วยังอธิบายความว่า "ปลูกสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น"

6.มีข้อพึงสังเกตอยู่ว่า....เนื่องจากสนามพลังงานแห่งเอกภพที่พวกเธอเรียกว่าสนามพลังงานแห่งจักรวาลนั้น มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก จึงยังผลให้กรรมดีกรรมชั่วที่ตัวพวกเธอก่อขึ้นในความเป็นมนุษย์ของพวกเธอนั้น เมื่อก่อมันขึ้นมาแล้ว บางกรณีมันก็จะส่งผลกลับมาช้า บางกรณีมันก็จะสะท้อนกลับมาสนองเร็ว เอาแน่นอนในการคิดแบบจิตมนุษย์ไม่ได้

บางคนกว่าคลื่นการสั่นสะเทือนของตนจะสะท้อนกลับคืนมาให้รับผิดชอบ อาจเป็นภพชาติถัดไป เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมหมดอายุขัยใช้งานเสียก่อน ขณะที่บางคนกรรมหรือการสั่นสะเทือนของตนนั้นจะสะท้อนคืนกลับมาให้รับผิดชอบเร็วกว่าที่คิด

7.ดังนั้น เธอจึงต้องจดจำไว้ว่า....
"กฎแห่งกรรม ไม่ต้องมีใครควบคุมมัน"
"กฎหมายหนีได้ แต่กฎแห่งกรรมนั้นหนีไม่พ้นแน่ๆ"
"ใครก่อกรรมทำเวรไว้ เมื่อตายแล้วยังต้องรอรับผลกรรมนั้นอยู่ ตายแล้วมิได้จบสิ้นกันง่ายๆอย่างที่คิด"

8.พระบิดาทรงแฝงสัจจธรรมเรื่องนี้ไว้กับ การปลูกถั่วเขียว ที่ลูกๆทั้งหลายมักเพาะไว้ทานกันมาตั้งแต่โบราณ เนื่องจากเป็นธัญญพืชที่มีทั้งโปรตีนชนิดที่ร่างกายต้องการ รวมทั้งวิตามินเอที่ใช้บำรุงอายตนะภายนอกทั้งห้ากับสารอาหารที่มีคุณค่าอื่นๆอีกมากมาย จนพวกเธอสามารถเพาะเอาไว้รับประทานเป็นประจำทุกมื้อทุกวันก็ได้

โดยพวกเธอจะสังเกตได้ว่า ถั่วเขียวจะต้องแตกโตเป็นถั่วงอกก่อนกว่ามันจะเติบโตเป็นต้นถั่วเขียวเสมอ นั่นคือ เมื่อเธอก่อกรรมใดไว้ กว่ากรรมนั้นจะสนองเธอก็ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งนั่นเอง

ก่อนที่เมล็ดถั่วจะเติบโตเป็นต้นถั่วเขียวนั้น พระองค์ทรงกำหนดให้มันต้องแตกโตเป็นถั่วงอกก่อนและพร้อมให้เธอรับประทานมันได้ด้วย เพื่อให้เธอระลึกได้ว่า...

แม้เธอจะปลูกถั่วเขียว แต่เธอกลับได้ถั่วงอกก่อน แปลว่าผลกรรมในมิติแห่งจิตวิญญาณนั้นมันจะส่งผลต่อมนุษย์เช่นเธอช้า เนื่องจากต้องใช้เวลาดังอธิบายไว้ข้างต้นนั้นแล้ว

กับการที่เธอสามารถทานถั่วงอกนั้นได้ ก็เพื่อทรงสั่งสอนเธอว่า ถั่วงอกนั้นมันก็เป็นผลกรรมจากการเพาะปลูกของเธอนั่นแหละ ซึ่งเธอเป็นเจ้าของมัน เธอสามารถเก็บเกี่ยวมันมารับประทานได้หากต้องการ หากปล่อยให้มันเติบโต ยังไงๆมันก็จะเป็นต้นถั่วเขียวที่จะให้ผลเป็นเมล็ดถั่วเขียวในวันหน้าแน่นอน มันจะไม่กลายพันธุ์ไปเป็นต้นอื่นเด็ดขาด

พี่ๆน้องๆแห่งเราทั้งหลาย....
จงใส่ใจในอารมณ์รู้สึกนึกคิดของตน ทุกขณะในยามตื่นเถิด
หากพวกเธอปรารถนาจะกลับบ้าน นอกระบบเอกภพ โดยมิพักต้องย้อนคืนสู่การมีภพชาติใหม่อีก ไม่ต้องเป็นเทพ เป็นเทวดา หรือว่ามาเกิดเป็นมนุษย์
พวกเธอจงละเลิกความเชื่อที่ว่า.....

1).ทำบุญเบื้องล่าง เอาไปสร้างเบื้องบน ทำบุญหลายหน ได้กุศลหลายครั้งเสียเถิด
2).การได้เกิดเป็นเทพ พรหม หรือมนุษย์ ในภพชาติต่อไป ถือเป็นที่สุดของเธอแล้ว จึงฝันอยากไปสวรรค์และกลัวการตกนรกขึ้นสมอง
3).กฎแห่งกรรมไม่มีจริง ตายแล้วก็จบ และไม่เชื่อเรื่องนิพพานเพื่อกลับคืนสู่สวรรค์นิรันดรของจิตวิญญาณแก่นแท้ในตนเอง

สาธุ....เอเมน....

ด้วยรักและห่วงใย
ป.วิสุทธิปัญญา
10-05-2014

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น