วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

คืนกลับมาตามสัญญา





ATTN: 
อาชวารย นีรติ,สมกิจ รวยเต็มหัตถ์,Manassanant Porncharoenroj และนักเรียนห้อง Visudhi Punya ทุกคน

Question: ของคุณ อาชวารย นีรติ
.............................................
ขออนุญาตถามครับ.

ผมมีรุ่นน้องที่มีศรัทธาในพระคริสต์คัมภีร์มาก 
เขาเรียนเนื้อหาในนั้นอย่างหนัก
เพื่อจะเป็นศาสนาจารย์ในอนาคต 
แต่ผมเห็นว่าเขามีทิฏฐิและยึดตึดความหมายตามตัวอักษร 
เขาเห็นที่เราพูดกันถึงเรื่องพันธะสัญญา 6 แล้วเกิดจิตคัดค้าน 
ปรามาสว่าเป็นพระวจนเท็จไม่ควรรับฟังหรือทำตาม

ผมควรจะช่วยเหลือเขาอย่างไรดี

๑.เกรงจิตเขาจะปรามาสต่อพระบิดา ทั้งอาจารย์ และพระโอวาทจนเป็นบาปแก่เขา

๒.เราควรบอกเขาอย่างไรดีให้ยอมรับฟังและเข้าใจอย่างไม่มีทิฏฐิปิดกั้น

Answer:
......................................

1.สิ่งที่พวกเธอเผชิญนี่แหละ เป็นปัญหาของดาวเคราะห์โลก เป็นปัญหาของจักรวาล และเป็นที่รักห่วงใยของชาวฟ้าด้วยกันทั้งหมด เพราะหวั่นเกรงว่าปัญหาของชาวโลกที่เธอยกมาถามนี้ มันจะนำไปสู่การแตกสลายของจักรวาลระบบใหญ่ที่เรียกกันว่า "เอกภพ" ได้ในไม่ช้านาน ก่อนกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าเลยทีเดียว

2.สิ่งที่พวกเธอเผชิญนี่แหละ จึงเป็นแรงบันดาลใจทางจิตวิญญาณแห่งเรา ที่เป็นเหตุให้เราต้องย้อนคืนกลับมา 

กลับมากอบกู้วิกฤติด้านจิตสำนึกทั้งของมวลมนุษย์แห่งโลกเสรีและจิตสำนึกแห่งดาวเคราะห์โลกดวงนี้อีกครั้ง เรากลับมาในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ เพื่อยกระดับจิตปัญญาที่ตกต่ำของมนุษย์ซึ่งกำลังดิ่งลงๆสู่ความเป็นผู้ใช้ได้แค่เพียงสัญชาตญาณเยี่ยงสัตว์ประจำโลก กับการใช้สันดานที่เคยตัวในการดำเนินชีวิต เช่น เห็นแก่กิน เห็นแก่กาม เห็นแก่เกียรติ เห็นแก่โกย เห็นแก่กาย เห็นแก่เกาะ เห็นแก่กู เห็นแก่กวน เห็นแก่โกง ฯลฯ 

เพราะจิตหยาบของผู้คนเหล่านี้ มีความผิดบาปต่อจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ในตนเอง ที่ขาดสำนึกทางวิญญาณกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ

< ได้แต่นึก ไม่ฝึกคิด
< คิดแบบอริยะหรือคิดแบบจิตจักรวาลไม่เป็น
< ยึดติดตัวตนของตน เช่น ความรู้สึกของตน ความชอบของตน ความเชื่อของตน ความลุ่มหลงงมงายของตน ครูของตน คัมภีร์ของตน ฯลฯ แล้วปฏิเสธความรู้ ความคิด ความจริงและไม่จริงของคนอื่นๆ
< ใช้ข้ออ้างแทนเหตุผล
< เหมือนจะมีเหตุผล แต่ก็ใช้เหตุผลไม่เป็น
< หลงตนเอง ข่มคนอื่น
< เกลียดกลัวการเปลี่ยนแปลง
< ดีแต่คิดบวกตามกระแส แต่คิดด้านบวกไม่เป็น
< ได้แต่คิดลบ แต่กลับคิดด้านลบไม่เป็น

คุณสมบัติด้านลบเหล่านี้ เธอสามารถพบเห็นได้จากคนเหล่านั้น และคนส่วนใหญ่ตามท้องถนนบนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้ ซึ่งเราเรียกพี่ๆน้องๆแห่งเราผู้เหลวไหลเหล่านี้ว่า "ผู้คนที่งมงาย เพราะสับสนในตนเอง"

3.เราจึงขันอาสาพระบิดาเพื่อลงมาฉุดช่วยมนุษย์แห่งโลกเสรี โดยเน้นสั่นสะเทือนกันแรงๆที่ประเทศไทย คล้ายดั่งแผ่นดินไหวที่มันจะกระจายคลื่นไปกระตุ้นให้ผู้คนได้รู้ตื่นคืนสติทางวิญญาณกันอีกครั้งจนทั่วทั้งโลก เพื่อแก้ไขปัญหาทั้ง 9 ประการดังกล่าวในแต่ละคนให้ลุล่วง

เราจึงกล่าวกับพวกเธอตลอดมาว่า ปฏิบัติการชำระโลกเพื่อการเปลี่ยนยุคของพระบิดาครั้งที่สี่นี้...มันจะมีจำนวนผู้เหลือรอดปลอดภัยน้อยกว่าที่ถูกเก็บชำระออกไปหลายร้อยเท่า....ซึ่งเรากำลังพยายามอยู่ทุกทิวาราตรีที่จะเก็บเกี่ยวเพิ่มเติมจากที่คิดคำนวณไว้ให้มากขึ้นอยู่เรื่อยๆ....อย่างไม่ย่อท้อ

จงปลดปล่อยพวกเขาไปเถอะ วางเสีย แล้วหันมาทำหน้าที่ดูแลจิตวิญญาณของเธอเองเถิดนะ เขาก่อกรรมแบบใดเขาสมควรต้องรับผิดชอบในผลกรรมนั้น...อย่าปล่อยให้ตนเองจิตตกเพราะยกเอาความทุกข์ของเขา ที่โง่งมงายเงิบๆอยู่มาเป็นทุกข์ของตนเองให้เป็นที่ลำบากทางจิตวิญญาณของเธอเลย 
วันข้างหน้า...เธอยังจะพบเจอคนพวกนี้อีกเยอะจนจะชินไปเอง

ที่สำคัญ คือ ผู้ใดต่อต้านเรา 
แสดงว่าพวกเขาได้ถูกพิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว....

4.ในวันข้างหน้า คนส่วนใหญ่ผู้สับสนในตนเองเหล่านี้ จะได้รับบทเรียนบทสุดท้าย คือ บทเรียนแห่งความกลัวตายเพราะไร้"กฤติสติ" และจะได้รับบททดสอบจิตสำนึกครั้งสำคัญก่อนถูกพิพากษาว่า เจ้าบ่าวผู้ที่เขารอคอยได้ย้อนคืนกลับมาตามสัญญาตั้งนานแล้ว 

กลับมาเพื่อจะนำทางพวกเขาเข้าสู่ประตูห้องหอ คือ ด่านนภาลัย 

ถ้าพวกเขาไม่งมงายอยู่กับการยึดติดเสื้อผ้าหน้าผม หนวดเคราและรองเท้าคู่เก่าของเรา...แค่เพียงเขาหลับตาลง แล้วน้อมใจรับฟังพระโอวาทพระบิดาที่ทรงสื่อผ่านมาทางเรา...พระบิดาจะเมตตาพวกเขาให้ได้รำลึกถึงเราคนที่พวกเขารอในบัดดล....
Amen....

ป.วิสุทธิปัญญา
30-05-2014

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น