วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สัจธรรมความจริงระดับ "อนุตรธรรม"





#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่น้องที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สัจธรรมความจริงขั้นสูงสุด
ที่มนุษย์ไม่รู้ว่าตนไม่รู้ ก็คือ #อนุตรธรรม

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
สัจธรรมความจริงระดับอนุตรธรรมนี้
จะแตกต่างจากความจริง
ในระดับโลกียธรรมและโลกุตรธรรม

เพราะสัจธรรมระดับอนุตรธรรมนั้น
ท่านจะไม่สามารถใช้สมองสองซีก
วิเคราะห์และสังเคราะห์ความจริงได้เอง
เหมือนโลกียธรรมกับโลกุตรธรรม
ซึ่งเราได้กล่าวต่อท่านทั้งหลาย
เอาไว้ในบทก่อนๆที่ผ่านมาแล้ว

ถ้าจะเปรียบเทียบความต่างให้เห็นชัดเจน
ระหว่างสัจธรรมความจริงทั้ง 3 ระดับ
ก็อาจจะกล่าวได้ว่า

1.สัจธรรมระดับโลกียธรรมนั้
เป็นความจริงในสิ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นได้ง่าย
จากการสังเกตแล้วนำมาวิเคราะห์แยกแยะ
อย่างมีหลักคิดและเหตุผล
ด้วยสมองซีกซ้ายของตนเอง
ตาม #ChickModel by Parinya 

2.สัจธรรมระดับโลกุตรธรรมนั้น
เป็นความจริงที่จริงแท้
ที่ต้องสังเคราะห์ออกมาจากโลกียธรรม
ด้วยความสามารถในการใช้สมองซีกขวา
ซึ่งเป็นระบบกดปุ่มอีกทอดหนึ่ง

โดยผู้ใดที่สามารถเข้าถึงสัจธรรม
ในระดับโลกุตรธรรมได้อย่างชำนาญแล้ว
ท่านจะสามารถต่อยอด "ปัญญาญาณ"
ด้วยการยกระดับถึงขั้น "การหยั่งรู้"
ซึ่งภาษาฝรั่งใช้คำว่า Intuition ได้ด้วย

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
แต่สำหรับความจริงที่สูงสุด ลึกสุด
ในระดับที่เรียกว่า "อนุตรธรรม" นี้
ไม่สามารถคิดเชื่อมโยงหรือต่อยอดการคิด
ไปจากสัจธรรมทั้งสองระดับที่ว่ามาได้

เพราะความจริงที่จริงแท้ทั้งสองระดับ
เป็นความจริงที่จริงแท้เฉพาะในระบบเอกภพ
ทั้งมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงาน
ซึ่งมนุษย์สามารถเข้าถึงได้ไม่ยากนัก
ไม่ว่าจากการสังเกตแล้วคิดวิเคราะห์
วิเคราะห์ได้แล้วก็นำมาร่อนมาสังเคราะห์
จนเป็นสัจธรรมอันล้ำลึกได้ระดับหนึ่ง

ถ้าสัจธรรมใดที่มีอยู่ในเอกภพนี้
แต่สุดความสามารถที่จะสังเก
ด้วยกลไกอายตนะของตนเองได้
มนุษย์ก็จะใช้วิธีตั้งสมมติฐานเอา
เหมือนดั่งวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ
ของนักวิชาการโลกเขาทำกันนั่นแหละ

เห็นวงแหวนของดาวเสาร์ด้วยกล้องส่อง
ก็บรรจงตั้งสมมติฐานกันเอาเองว่า
มันคือนั่นนี่โน่นจิปาถะ

เห็นดวงดาราประดับฟ้าวับๆแวมๆมากมาย
ก็ตั้งสมมติฐานเอาเองว่าคือเป็นดวงอาทิตย์
โดยเรียกใหม่ว่า "ดาวฤกษ์" แทน
ซึ่งคาดเดาเอาเองว่าต้องใช่ดวงอาทิตย์แน่ๆ
จริงหรือไม่ ถูกหรือผิด ไม่รู้

แต่ถ้าใช้ปัญญาญาณได้
หรือมีญาณหยั่งรู้จริงแท้แน่แล้ว
ท่านคงไม่กล้าสรุปหรอกว่า
ที่ระยิบระยับนับล้านดวงนั้นเป็นดวงอาทิตย์
เพราะในระบบสุริยจักรวาลโลก
แค่มีดวงอาทิตย์ดวงเดียวเท่านั้นเอง
พอถึงหน้าร้อนมนุษย์ก็ร้อนแทบตับแลบแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
แต่สำหรับความจริงระดับ "อนุตรธรรม"
อันเป็นความจริงที่อยู่นอกระบบเอกภพนี้
ปัญญาญาณหยั่งรู้ของมนุษย์ทั่วไป
จะมิอาจเข้าถึงด้วยตนเองได้หรอก

ท่านเคยได้ยินคำว่า "สุดเอื้อม" มั้ย?
เคยได้ฟังคำว่า "เกินกว่าจะหยั่งถึง" มั้ย?
ทั้ง 2 ถ้อยความนี้เป็นอภิปรัชญานะ
เพราะเรามิได้หมายถึง

การเอามือล้วงรูแล้วสุดที่มือจะหยั่งถึงได้
การเอาไม้หยั่งดูแล้วสุดที่ไม้จะหยั่งถึงได้
เพราะรูนั้นมันลึกเกินไปนั่นเอง

ความจริงระดับอนุตรธรรมนี้
ถ้าจะกล่าวง่ายๆให้สมองซีกซ้ายเข้าใจ
ก็พอจะกล่าวได้ว่า

1.เป็นความจริงที่ถ้าไม่มีใครบอกก็จะไม่รู้
เพราะสัมผัสรู้เห็นความจริงนี้ด้วยตนเองไม่ได้
จะคาดเดาเอาเองตั้งสมมติฐานเองก็ไม่ได้

2.เป็นความจริงที่ผู้บอกเล่ากล่าวเผย
จักต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับความจริงนั้น
จักต้องเกี่ยวข้องกันกับความจริงนั้น

3.เป็นความจริงที่ผู้บอกเล่ากล่าวเผย
รู้เห็นเป็นจริงอยู่ดุจดั่งความลับเฉพาะตน
ซึ่งคนทั่วๆไปที่ไม่เกี่ยวข้องก็มิอาจรู้ได้
ต่อให้มีปัญญาญาณฉลาดล้ำลึกแค่ไหน
ก็จะมิอาจเรียนรู้ มิอาจหยั่งรู้เองได้
จักต้องมี "ครูจำเพาะตน" เมตตาให้เท่านั้น

เราขอกล่าวความจริงว่า
สัจธรรมระดับอนุตรธรรมนี่แหละ
เป็นความจริงที่มนุษย์โลกไม่รู้ว่าตนไม่รู้
เป็นความจริงที่มิอาจคิดด้วยจิตมนุษย์ได้

เป็นความจริงที่บรรดานักวิชาการส่วนใหญ่
ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ
จะพากันแอนตี้ต่อต้านหรือไม่เชื่อ
เพราะใช้สมองซีกซ้ายของตนเป็นมาตรฐาน

ด้วยเหตุนี้เอง
องค์เยซูคริสต์เจ้าในกาลอดี
เมื่อทรงกล่าวสัจธรรมระดับอนุตรธรรม
ก็จะทรงอาศัยความเชื่อมั่นและศรัทธา
ที่พี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีทั้งหลายในยุคนั้น
พึงน้อมถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
พึงมอบให้พระองค์ผู้ทรงกล่าวพระโอวาท
เป็นปัจจัยสำคัญเสมอ

เนื่องจากพระองค์ทรงรู้แจ้งดีว่า
อนุตรธรรมความจริงนั้น
มนุษย์โลกทั้งหลายจะมิอาจเข้าถึง
ด้วยปัญญาของสมองทั้งสองซีกได้เอง
จักต้องเชื่อในพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้สร้าง
จักต้องเชื่อในพระองค์ซึ่งเป็นบุตรเอก
ผู้เข้ามากล่าวพระโอวาทแทนเท่านั้น

พี่น้องที่รักทั้งหลาย
ถ้ามันเป็นความจริงอันแสนพิเศษแล้ว
ความจริงในระดับสูงสุดอนุตรธรรมนี้
ซึ่งมีเพียงแต่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้
มันคืออะไรบ้างหนอ....

เราขอยกบางตัวอย่างมากล่าวต่อท่าน
ไว้ในที่นี้บ้าง ดังนี้

1.จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร
2.ใครเป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน
3.จิตวิญญาณของท่านมาจากไหน
4.จิตวิญญาณท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
5.ใครอนุญาตให้จิตวิญญาณท่านมาเกิด
6.มาเกิดแล้วมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
7.มนุษย์ โลกและจักรวาลสัมพันธ์กันยังไง
8.ทำไมจิตวิญญาณมนุษย์ต้องนิพพาน

หากท่านพิจารณาทั้ง 8 คำถามแล้ว
ท่านจะทราบด้วยตนเองทันทีว่
จะต้องมีครูคนพิเศษเท่านั้น
ที่จะสามารถช่วยตอบคำถาม
ที่จะสามารถเล่าความจริงต่อตัวท่านได้

นี่ไง...
จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่า
ทำไมพระศาสดาจึงต้องขันอาสาพระบิดา
ลงมาช่วยเหลือมนุษย์ผู้ไม่รู้ให้ได้รู้
ด้วยการเข้ามาทำหน้าที่กล่าวพระโอวาท
ในพระนามแห่งพระบิดาให้ท่านฟัง

นอกจากนั้น
ในปลายยุคพลังงานเก่านี้
ความจริงเรื่องโลกกับมนุษย์กำลังถูกชำระ
ด้วยภัยพิบัติที่รุนแรงขนาดแผ่นดินหาย
รุนแรงขนาดผู้คนต้องล้มตายจำนวนมาก
ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับดาวโลกมาก่อน

ความจริงที่โลกและมนุษย์
จักต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ

เป็นความจริงที่มนุษย์บางพว
จักต้องทำตัวเป็นปลาที่ถูกคัดไว้
แม้จะยังหายใจด้วยปอด
แต่ก็มีชีวิตรอดปลอดภัยอยู่ในน้ำลึกๆได้

เป็นความจริงที่โลกและมนุษย
จักต้องทำตัวเป็นแกะ
ซึ่งจำเสียงเพรียกจากเจ้าของที่ร้องหา
แล้วรีบแจ้นกลับมาเข้าคอกได้ทันเวลา

ที่สำคัญคือ ยังมีความจริงอยู่อีกว่า
ขณะนี้สิ้นยุคพลังงานเก่า
เพราะครบจำนวนเวลา 6 หมื่นปี
ท่านจึงหมดเวลาวาระการทำหน้าที่
ตามพันธะสัญญา 6 ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาแล้ว
ท่านต้องรีบนำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน
ในสภาวะนิพพานก่อนวันสิ้นยุคให้ได้

นี่ก็เป็นความจริงในระดับ "อนุตรธรรม"
ที่ท่านทั้งหลายทั่วทั้งโลกาในปลายยุคนี้
ยังไม่รู้ว่าตนเองยังไม่รู้
ยังไม่รู้ว่าทำไมจะต้องรู้
ยังไม่รู้ว่าตนกับโลกจะต้องเผชิญกับสิ่งใด

นี่ไงล่ะ....
เป็นเหตุให้เราต้องกลับมาอีกครั้ง

มาเพื่อช่วยภารกิจพระบิดา
ในการพิพากษาโลก
เพื่อเปลี่ยนโลกไปสู่ยุคพลังงานใหม่
ยุคแห่งความศิวิไลซ์แห่งจิตใจผู้เหลือรอด
และโลกใหม่ที่มีฟ้าใหม่ในพิกัดใหม่
บนสนามพลังงานที่สมดุลมากขึ้น

มาเพื่อช่วยคัดปลาขึ้นจากน้
มาเพื่อร้องเรียกแกะหลงฝูงกลับเข้าคอก
มาเพื่อพาเจ้าสาวเข้าสู่ประตูด่านนภาลัย

ปลาทุกตัวที่ไม่เอาไหน
แกะตัวใดที่ไม่เอาถ่าน
เจ้าสาวตนใดที่เกียจคร้าน
คงได้แต่หลับไหลถือตะเกียงที่ไร้น้ำมัน
ล้วนจะได้รับการพิพากษาจากตัวท่านเอง

ช่างเท็คนิกของพระบิดา
จะช่วยกันทำเครื่องหมาย
กากะบาทบนหน้าผากให้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-10-2017

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น