วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ศิลปะแห่งการเป็นผู้ให้




พี่ๆน้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
#การทำบุญ เป็นกิริยาวัตถุ
หมายถึง การให้สิ่งดีๆที่ให้แล้วทำแล้ว
ก่อให้เกิดความมีปิติสุขขึ้นที่ในใจทุกฝ่าย
ทั้งตัวผู้ให้ ผู้ได้รับ และผู้ที่รู้เห็นการให้นั้น
โดยบุญ คือ "ปิติสุขจากการให้"
จะต้องเกิดขึ้นภายในจิตใจของทุกๆท่าน
มิใช่เกิดขึ้นที่ "การมีหน้ามีตา"
มิใช่เกิดขึ้นที่การได้มาของ "คำสรรเสริญ"
มิใช่เกิดขึ้นที่ "พิธีการ พิธีกรรม" ศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหมดที่กล่าวมา
เราหมายความว่า
การทำบุญของท่านต้องทำด้วยจิตสามนึก
การทำด้วยจิตสามนึก คือต้องนึกได้เองว่า
การให้ของท่านจะเป็นประโยชน์สุขต่อผู้รับ
จะทำให้ตัวท่านเองสุขใจที่ได้ให้ได้ทำ
และจะทำให้ท่านสุขใจที่ได้รู้เห็นว่า
ฝ่ายผู้ที่ได้รับนั้นเขายินดีและมีความสุข
ท่านจะเห็นได้ว่านัยแห่งการทำบุญนั้น
ผลแห่งบุญจะเน้นกันเฉพาะที่จิตใจ
ด้งนั้น
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องทำตามประเพณี
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องรอให้มีเทศกาล
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องทำในธรรมศาลา
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องได้หน้าตา
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องหาประโยชน์แฝง
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องมากพิธีรีตอง
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องอาศัยพิธีกรรม
ทั้ง 7 ประการที่กล่าวไว้นี้ คือ...
#ศาสตร์แห่งการให้ หรือ การทำบุญโดยแท้
นอกจากนั้น
ที่เรากล่าวว่า "บุญเป็นกิริยาวัตถุ" นั้น
เราหมายถึง การกระทำความดีงามใดๆ
ในบทบาทของการเป็นผู้ให้
ไม่ว่าจะเป็นการสั่นสะเทือน
ทางกาย วาจา หรือจิตใจก็ตาม
การสั่นสะเทือนทางกายเพื่อการให้
เช่น การให้ทาน การแบ่งปัน
การแลกเปลี่ยน และการยอมยกให้
ซึ่งฆราวาสทั้งหลายก็สามารถปฏิบัติได้
ส่วนการสั่นสะเทือนทางจิตใจ
เพื่อการให้นั้นเป็นปฏิบัติการทางเท็คนิก
ที่พระหรือนักบวชผู้ถือสันโดดต้องใช้
เพราะพระท่านปลีกวิเวกอยู่คนเดียว
จึงจำต้องให้ด้วยจิตใจของท่านเท่านั้น
เช่น เมตตา กรุณา มุทิตา ตามแนวพุทธ
ที่กระทำทางจิตต่อเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
ซึ่งเรียกปฏิบัติการทางเท็คนิกนี้ว่า
"การแผ่เมตตา" หรือ "อุทิศให้" นั่นเอง
นอกจากนั้นการให้ทางจิตใจ
ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งที่ชาวบ้านหรือฆราวาส
จักต้องใช้มันให้ได้และใช้ให้เป็นนั่นคือ
การอดทนเพื่อตนเอง
การอดกลั้นเพื่อผู้อื่น
การอภัยเพื่อกันและกัน
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เมื่อเข้าใจถึงศาสตร์แห่งการทำบุญแล้ว
การทำบุญด้วยการให้ของท่านนั้น
ยังจะต้องมีศิลปะแห่งการให้ด้วย
มันจึงจะช่วยให้การให้ของท่านมีคุณค่า
1.#ให้โดยมิพักต้องให้ใครร้องขอ
เพราะมันจะทำให้จิตใจของท่าน
สั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุดได้อย่างเต็มพลัง
เพราะท่านเต็มใจให้ และตั้งใจให้จริงๆ
โดยให้ใครก็ได้ที่ท่านพึงใจที่จะให้
ให้ใครก็ได้ที่ท่านพร้อมที่จะให้
ต่างกับการให้เพราะมีใครมาร้องขอ
สำนึกแห่งการเป็นผู้ให้ในจิตใจท่าน
มันจะสั่นสะเทือนน้อยกว่ากันมากนัก
เช่น ให้เพราะเกรงใจ ให้เพราะตัดรำคาญ
ให้เพราะเห็นว่าเป็นประเพณีปฏิบัติ
ให้เพราะเห็นแก่มิตรภาพ เป็นต้น
2.#ให้โดยไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทน
การให้ในลักษณะเช่นนี้
เป็นการสั่นสะเทือนของจิตด้านบวก
ด้วยสำนึกแห่งการเป็นผู้ให้อีกเช่นกัน
โดยเฉพาะท่านเต็มใจและตั้งใจให้
แก่ผู้ที่ท่านเองก็รู้ล่วงหน้าอยู่แก่ใจแล้วว่า
เขาไม่มีปัญญาและไร้ความสามารถ
ที่จะตอบแทนอะไรแก่ท่านได้
ความมีปิติสุขอันเกิดจากการให้นั้น
มันต่างกันเยอะเลย
3.#ให้อย่างมีคุณค่า
หมายถึงการให้ของท่านนั้น
จักต้องคำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ
ที่มันจะเกิดขึ้นต่อทั้งผู้ได้รับ
กับตัวท่านเองที่เป็นผู้ให้
หลังการให้ของท่านสำเร็จแล้วด้วย
เช่น ให้เงินแล้วท่านเองสบายใจมั้ย
ถ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
แสดงว่าท่านเกิดการลังเลใจในการให้
โดยไม่มั่นใจในการให้ของท่านเองว่า
หลังการให้แล้วอาจเกิดปัญหา
ต่อตัวท่านหรือผู้รับอย่างใดอย่างหนึ่ง
นั่นแสดงว่าจิตใจท่านยังไม่พร้อมที่จะให้
ถ้าฝืนใจให้การให้นั้นก็จักมีคุณค่าลดลง
นอกจากนั้น
การให้อย่างมีคุณค่า
นอกจากจะขึ้นอยู่กับจิตใจของผู้ให้แล้ว
ยังขึ้นอยู่กับว่า "ผู้ได้รับ" จากท่านนั้น
เขามองเห็น "คุณค่าของสิ่งที่เขาได้รับ"
มากน้อยแค่ไหนอย่างไรด้วย
จงอย่าเข้าใจผิดว่า
นี่เป็นการทำบุญหรือให้อย่างมีเงื่อนไข
แต่มันเป็นศิลปะแห่งการให้
ที่ผู้ให้ต้องคนึงถึงเสมอ
เพื่อช่วยให้ผู้รับได้ไปสวรรค์กับผู้ให้
คือเกิดปิติสุขที่ในจิตใจของเขาด้วย
จะได้ช่วยกันหมุนธรรมจักร
ผลิตสร้างพลังรักตามสมการซัมเบต้า
มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้
ตามพันธะสัญญา 6 นั่นเอง
การปฏิบัติเช่นว่านี้
จึงมิใช่สร้างเงื่อนไข
เพื่อประโยชน์ของผู้ให้แต่อย่างใด
ดังนั้น
ในทุกเทศกาลการทำบุญด้วยการให้
จักได้เป็นการให้ที่มีประสิทธิผล
ที่จะบังเกิดต่อทุกคนทุกฝ่าย
จักเป็นการให้ที่มีอิทธิพล
ต่อดาวโลกดวงนี้อย่างแท้จริง
เพราะทุกท่าน
มีทั้งศาสตร์และศิลป์แห่งการให้
ตามมรรควิถีจิตจักรวาล
อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมกันแล้ว
ดาวโลกจักลดความรุนแรงด้านภัยพิบัติได้
ความสงบสุขจักเกิดขึ้นที่ในจิตใจท่าน
เพราะความฉลาดและมีสำนึกแห่งการให้
มิใช่ปฏิบัติบำเพ็ญแบบงมงายอีกแล้ว
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-10-2017

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น