วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ท่านทราบหรือยังว่า ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเป็นมายา











ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ตัวตนแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง
ซึ่งองค์จิตจักรวาลทรงกำหนดสร้างขึ้นนั้น
จะเป็นรูปธรรมทางพลังงานทั้งสิ้น

ดังนั้น
ที่เราเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ก้อนหินก้อนหนึ่งที่ท่านเห็น
จึงมิใช่เป็นตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด
ตัวตนที่แท้จริงของหินก้อนนั้น
เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างในต่างหาก

แต่เนื่องจากแก่นแท้นั้นซ่อนเร้นอยู่ข้างใน
ท่านจึงมิอาจสัมผัสรู้ดูเห็นตัวตนที่แท้จริงนั้นได้
ถ้าจะดูกันให้เห็นก็ต้องเจาะหรือผ่าเข้าไปข้างใน
จึงจะสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้

เนื่องจากว่ากลไกประสาทสัมผัสของท่าน
โดยเฉพาะ "ตา" นั้นจะถูกปกปิดมิติไว้
มิให้แลเห็นคลื่นพลังงานใดๆได้
แม้ว่าท่านจะสามารถผ่าก้อนหินเข้าไปดูข้างในได้
แต่ท่านก็จะไม่สามารถมองเห็นพลังงานได้

นอกจากนั้นพลังงานผู้เป็นแก่นแท้อยู่ในก้อนหิน
เมื่อถูกท่านเจาะผ่าเข้าไปข้างใน
เขาก็จะดำรงตนเองอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
เพราะเหตุผลว่าพลังงานไม่มีเปลือกนอกให้ยึดเกาะ
ทันทีที่เปลือกนอกถูกทุบจนแตกสลาย
พลังงานที่เคยเป็นแก่นแท้ในก้อนหินนั้น
ก็จะทำการสลายตัวไปทันที

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านต้องการสัมผัสรู้ดูเห็นแก่นแท้ของสรรพสิ่งใดๆ
ท่านอย่าหมายใจว่าจะมองเห็นหรือสัมผัสด้วยอายตนะได้
ท่านจักต้องใช้ตาที่สามหรือดวงตาแห่งปัญญาเท่านั้น
โดยท่านต้องไปใส่ใจให้ความสำคัญตรงที่
"คุณสมบัติ" ของสรรพสิ่งนั้นๆนั่นเอง

เพราะคุณสมบัติแท้จริงของสรรพสิ่งนั้น
คือ ตัวตนแท้จริงของแก่นแท้หรือสัจธรรม
ส่วนเปลือกนอกที่แลเห็นได้ก็เป็นแค่เพียง
"มายา" ซึ่งเป็นตัวแทนของแก่นแท้ไงล่ะ

หากท่านปรารถนาที่จะมองหา
คุณสมบัติแท้จริงของสรรพสิ่งนั้น
ก็ให้มองที่มายาหรือเปลือกนอกของสรรพสิ่งนั้นได้
เพราะมายาเปลือกนอกของแก่นแท้นั้น
เป็นผลลัพธ์จากการสั่นสะเทือนทางพลังงาน
ของตัวตนแท้จริงที่เร้นอยู่ข้างในนั่นเอง

ตัวอย่างเช่น
หากตัวท่านใช้จิตซึ่งเป็นแก่นแท้สั่นสะเทือน
จนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดอย่างไร
ท่านก็จะแสดงอาการหรือพฤติกรรมออกมาอย่างนั้น
คิดอย่างไรก็พูดออกไปหรือกระทำไปตามนั้น
รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกหรือกระทำไปตามนั้น
มีอารมณ์อย่างไรก็จะพูดหรือกระทำไปตามอารมณ์นั้น
ดังคำกล่าวนมนานมาแล้วซึ่งเป็นอมตะที่ว่า
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" นั่นแหละนะ

นี่แสดงว่าถ้าแก่นแท้ คือ จิตของท่าน
มันมีคุณสมบัติอย่างไรในขณะนั้น
มันก็จะแสดงคุณสมบัตินั้นออกมาภายนอก
ผ่านเปลือกนอกที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมเสมอ

พวกท่านจึงมักจะรู้กันว่าใครเป็นคนอย่างไร
ก็จากการสังเกตพฤติกรรมภายนอก
ที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมนั่นล่ะ
ยกเว้นพวกเสแสร้งเก่งก็อาจจะสังเกตยากอยู่สักหน่อย

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงบอกกล่าวต่อพวกท่านเสมอว่า
ถ้าจะเข้าถึงจิตวิญญาณของตนเองให้ได้
ก็ให้จิตหยาบคือตัวท่านนี่แหละ
สั่นสะเทือนทางจิตด้วยคุณสมบัติของจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของตัวท่านให้จงได้
นั่นคือ ต้องรักให้ได้ ต้องให้ให้เป็น

*รักให้ได้หมายถึง
การมีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา
การมีความอดทน อดกลั้น และให้อภัย

*ให้ให้เป็นหมายถึง
การเป็นผู้มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
การแลกเปลี่ยน การแบ่งปัน และการเสียสละ เป็นต้น

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็นบันใดขั้นต้นสำหรับคนประพฤติธรรมแท้จริง
ที่จะยกระดับการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้คือจิตวิญญาณ
ของท่านทั้งหลายได้โดยแท้

นี่เป็นคำตอบที่เราเฉลยต่อท่านทั้งหลายแล้ว
ไม่ต้องแสวงหาที่ใดให้เสียเวลาอีกแล้วล่ะนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-05-2016

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น