วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ปฎิบัติมาจนถึงที่สุด แล้วใยหลุดพ้นไม่ได้



จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ตามวิธีการทางเท็คนิกของพระหรือนักบวช

หมายถึง
การฝึกให้มีสติที่จะรู้เท่าทันสภาวะจิตตนเอง
ซึ่งผันแปรเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา
มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
เช่น เมื่อจิตมีราคะ โทสะ หรือโมหะ
ก็ให้รู้เท่าทันว่าจิตกำลังมีราคะ โทสะ หรือโมหะ
แล้วเฝ้าติดตามดูมัน
จนในที่สุดจะพบว่ามันก็ดับไปไม่ยั่งยืน
แล้วต่อมาไม่นานมันก็สามารถที่จะ
เกิดขึ้นมาใหม่ได้อีก
เป็นเช่นนี้เรื่อยไป.....

2.ดังนั้น....
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
จึงเป็นวิธีการฝึกปฏิบัติจิตให้รู้สติอยู่กับปัจจุบัน
โดยมีจิตตนเองเป็นฐานที่ตั้ง

อันเป็นวิธีการเพ่งจิตหรือส่องจิต
หรือเฝ้าติดตามดูสภาวะจิตที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
ในขณะนั่งปิดหูปิดตาสงบสำรวมอยู่ในที่ตั้งนั้น

3.ส่วนวิธีการกำหนดจิตโดยครอง "มหาสติ"
ด้วยวิธีธรรมชาติสมาธิในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเป็นวิถีแห่งจิตจักรวาลที่เรากล่าวไว้นั้น
เหมาะสำหรับฆราวาสผู้ครองเรือน
ที่จะถือปฏิบัติเป็นมรรควิถี
สู่การอยู่เหนือกรรมหรือเป็นคนพ้นกรรมทั้งปวง

เพราะเป็นการปฏิบัติไป
ในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน
ที่มิใช่การปลีกวิเวกหรือสันโดด
ที่เป็นการนั่งหลับตาปฏิบัติอยู่กับจิตตนเองตามลำพัง
อันเป็นมรรควิถีของนักบวชผู้เป็นนักรบแห่งแสงสว่าง

4.สำหรับการครอง "มหาสติ" ตามวิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
เป็นการปฏิบัติตนในสองมิติที่เป็นธรรมชาติที่สุด
โดยแทนที่จะคอยตามเฝ้าดูสภาวะจิตในปัจจุบัน
ตามวิถีของนักบวชหรือพระ
เพื่อการรู้เท่าทันความไม่เที่ยงแท้ของจิต
แต่การครองมหาสติ
จะยังประโยชน์ให้ผู้ปฏิบัติได้มากกว่านั้น

เพราะท่านสามารถใช้ "มหาสติ" ช่วยค้ำจุน
การเป็นคนสองมิติของท่านให้สงบสมดุลกัน
ระหว่างมิติทางกายภาพกับมิติทางจิตวิญญาณ
เพื่อประโยชน์สูงสุดที่ท่านเองหรือมนุษย์ทุกคน
จักต้องเข้าถึงมันให้ได้

นั่นคือ....
การรู้จักรัก รู้จักให้ และรู้จักใช้ปัญญาของสมอง
เพื่อการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในสังคม
โดยไม่ทำลายความสงบสมดุลของกันและกัน
ในอันที่จะช่วยให้ท่านทั้งหลาย...

**รู้เท่าทันกิเลสตัณหาของตนได้ทันทีที่มันเกิดขึ้น
**สามารถจัดการกับกิเลสตัณหานั้นได้ทันทีที่มันเกิดขึ้น
**สามารถเข้าถึงความรักเพื่อการตอบสนองคนที่ไม่น่ารักได้
**สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาแทนอารมณ์ขยะรายวันได้
**สามารถแสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม
ออกมาได้อย่างเหมาะสม

5.การครอง "มหาสติ" หมายถึง
การที่ท่านจะต้องปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน
ขณะดำเนินชีวิตร่วมกันกับผู้อื่น ดังนี้ คือ

(1).ต้องรู้สติ
เพื่อสร้างความฉลาดทางอารมณ์ คือ .....

รู้ว่าขณะนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่ (รู้ปัจจุบัน)
รู้ว่าเมื่อครูท่านได้ทำอะไรมา (รู้อดีต)
รู้ว่าต่อไปข้างหน้าท่านต้องทำสิ่งใด (รู้อนาคต)

(2).ต้องมีสติ
เพื่อสร้างความฉลาดทางสังคม คือ ....

**รู้รับรู้ในสิ่งสมควรรู้
รู้รับเอาในสิ่งสมควรรับเอา

**รู้รับรู้ในสิ่งสมควรรู้
รู้ไม่รับเอาในสิ่งไม่สมควรรับเอา

**รู้ที่จะไม่รับรู้ในสิ่งไม่สมควรจะรู้
รู้ไม่รับเอาในสิ่งไม่สมควรรับเอา

(3).ต้องใช้สติ
เพื่อสร้างความฉลาดทางปัญญา คือ....

มีความสามารถที่จะเข้าถึง
การใช้ความฉลาดของสมองทั้งสองซีกได้
อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

6.ท่านจะแลเห็นว่า....
ระหว่างการนั่งเพ่งมองส่องจิตอยู่คนเดียวเงียบๆ
กับการบริหารจิตตนเองไปในชีวิตประจำวัน
ด้วยมรรควิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
ผลลัพธ์ของการปฏิบัติมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

เพราะการครองมหาสติ
จะช่วยให้ท่านไม่กระทำผิดบาป
ด้วยการก้าวล่วงใครอื่นเขา
ให้เกิดเวรกรรมขึ้นมาใหม่ได้ง่ายๆเลย

เพราะการครองมหาสติ
จะช่วยให้ท่านเข้าถึงความรักกับปัญญา
ที่ท่านสามารถหยิบมาใช้แก้กรรม
หรือตัดกรรมเก่าที่ค้างคามาจากภพชาติอดีต
ระหว่างท่านกับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ
ให้มันสิ้นสุดยุติกรรมลง
อย่างสิ้นเชื้อได้ในภพชาตินี้

ดังนั้น...
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราเตือนพวกท่านว่า
อย่าเดินถ่างขาถ้าปรารถนาการหลุดพ้น
เพราะท่านเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
พวกท่านมิใช่นักรบแห่งแสงสว่าง...

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
27-05-2015

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น