วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อภิปรัชญา: (Pure-meta physics) "ศาสตร์แห่งจักรวาล"









อภิปรัชญา: (Pure-meta physics)
"ศาสตร์แห่งจักรวาล"
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า...
"เวรกรรม"
นั้นมีจริง
"เวรกรรม"
ตอบสนองผู้กระทำหรือผู้ก่อได้
"เวรกรรม" ยังผลให้หรือเป็นเหตุให้
เกิดกฎแห่งกรรม
จนนำไปสู่การมีสังสารวัฏของคนๆนั้นได้
เพราะเหตุว่า....
1.ผลกรรมลบ อันเกิดจาก "มโนกรรมลบ"
เป็น "ผลิตผล" ของจิต ในมิติทางพลังงาน
ที่ท่านทั้งหลายเป็นผู้ผลิตสร้างกันขึ้นมา
ในทุกครั้งที่ท่านเกิดการสั่นสะเทือน
เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
อันเกิดจากจิตเสียสมดุลไปเพราะถูกยั่วยุ
ซึ่งผลกรรมลบนี้
จะมีตัวตนรูปลักษณ์เป็นคลื่นความถี่
จะมีน้ำหนักมวลทางพลังงาน
จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบ
จะมีคุณสมบัติแห่ง "กรรม" ที่ก่อกำกับไว้ด้วย
2.ผลกรรมลบใดที่ท่านก่อขึ้น
ในรูปคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กนี้
นอกจากท่านจะนำมันนอกมาแสดง
เป็นพฤติกรรมภายนอก
คือ กายกรรม กับวจีกรรม แล้ว
จิตของท่านจะขับเคลื่อนมันออกมา
ในรูปของพลังงานกรรมตามข้อ 1.นั้นด้วย
3.คลื่นความถี่ของพลังงานกรรม
ที่เราเรียกว่า "กรรมเวร" นี่แหละ
เมื่อมันถูกขับเคลื่อนออกมานอกกายสังขาร
มันก็จะสั่นสะเทือนเคลื่อนไหลออกไป
บนสนามพลังงานของจักรวาล
ซึ่งโอบอุ้มหุ้มห่อทุกสรรพสิ่งเอาไว้
อันหมายรวมทั้งตัวของท่านเองด้วย
โดยมันจะกระจายออกไปจากตัวท่านทุกทิศ
ในรูปลักษณะของวงกลมคล้ายคลื่นน้ำ
เมื่อยามก้อนหินตกกระทบ
ตราบใดที่จิตท่านยังสั่นสะเทือนเป็นลบอยู่
จิตนั้นก็จะผลิตสร้างคลื่นลบนี้ออกมา
เป็นระลอกต่อเนื่องเรื่อยๆจนกว่าจิตจะสงบ
4.ท่านรู้หรือไม่ว่า....
คลื่นพลังงานกรรมลบหรือกรรมเวรนี้
เมื่อถูกผลิตออกมาแล้วไปไหนกัน
คำตอบคือ
มันจะพากันเคลื่อนที่เดินทางพาเหรดไป
จนสุดขอบเขตของจักรวาลใหญ่คือ"เอกภพ"
อันไกลแสนไกลเลยทีเดียว
5.เมื่อคลื่นลบแต่ระลอกใน "กรรมเวร" นั้น
เดินทางไปจนถึงสุดขอบสนามพลังงาน
อันเป็นจักรวาลใหญ่ที่เรียกว่าเอกภพแล้ว
มันก็จะเกิดการสะท้อนกลับหรือ "วกกลับ"
เพื่อเดินทางย้อนคืนกลับมาหาเจ้าของ
ผู้ก่อผลกรรมลบนั้นไว้ซึ่งยังอยู่ในมิติโลก
ให้ได้แสดงความรับผิดชอบมัน
เพื่อทำผลกรรมนั้นให้เป็นกลางหรือโมฆะ
ซึ่งเป็นกรรมวิธีขจัดขยะพลังงานให้พระบิดา
ในลักษณะของ "กรรมใคร ใครกำ"
โดยใครคนนั้นนั่นแหละจักต้องรับผิดชอบ
เราจึงเรียก "กรรมเวรด้านลบ"
ที่สะท้อนกลับมาหาเจ้าของ
ผู้ก่อกรรมนั้นขึ้นไว้ว่า..... "เวรกรรม"
เพราะมันเป็นสิ่งที่ผู้ก่อขึ้นมา
มีหน้าที่จักต้องรับผิดชอบมันสถานเดียว!
6.อีกสาเหตุหนึ่งที่เรียกว่า "เวรกรรม"
ก็เป็นเพราะว่าผู้ก่อผลกรรมลบนั้นขึ้นมา
จักต้อง "รอคอยเวลา" ที่จะรับผิดชอบมัน
เหมือนนักเรียนแบ่งเวรกัน
ดูแลความสะอาดปัดกวาดห้องเรียน
โดยผลัดกันรับผิดชอบคนละวัน
ถ้าใครรับผิดชอบเวรวันจันทร์
เมื่อถึงกำหนดทุกสัปดาห์คนๆนั้นก็ต้องทำ
จะหนีเวรเพื่อหนีความรับผิดชอบไม่ได้
7.สาเหตุที่ "เวรกรรมด้านลบ"
ซึ่งเป็นการสะท้อนย้อนกลับ
ของ "กรรมเวรด้านลบ" ที่กล่าวมานั้น
ต้องใช้เวลานานจนท่านต้องรอคอย
เพราะว่า "คลื่นพลังงานกรรม" ของท่าน
ต้องใช้เวลาเดินทางจากโลก
ไปจนสุดขอบเอกภพเสียก่อน
จึงจะสะท้อนย้อนกลับคืนมาหาท่านได้
เพราะท่านเป็นผู้ผลิตมันขึ้นมา
ระยะทางที่แท้จริงในการเดินทางไป-กลับ
ของพลังงานกรรรม คือ
"แปดล้านหนึ่งแสนล้านไมล์"
คูณด้วย "เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า"
ยกกำลังสอง....
มีหน่วยวัดระยะทางเป็น "ไมล์"
ท่านลองตรองดูสิว่าไกลหรือไม่
มันจึงต้องใช้เวลานาน "ข้ามภพชาติ"
เพราะอายุคนในยุคหลังๆนี้แสนสั้น
เมื่อตายแล้วจึงต้องรีบเกิดใหม่กัน
เพื่อจะได้กลับมารอรับ "เวรกรรม" ที่ก่อไว้
ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรมมิผิดเพี้ยน
8.เราจึงมุ่งสื่อสอนท่านให้ฝึกครองมหาสติ
ให้ท่านจงมีปณิธานแห่งนิพพาน
แล้วให้ท่านพยายามเข้าแทรกแซง
กระบวนการของขันธ์ 5 ที่เป็นกรรมจักรอยู่
เพื่อเปลี่ยนโหมดเป็น "ธรรมจักร" เสียให้ได้
ทำให้สำเร็จโดยพลันในชาตินี้แหละ
ท่านจึงจะนำพาแก่นแท้ของท่านหลุดพ้นได้
เรื่องง่ายๆมันมีเท่านี้
น่าเสียดายที่หลายคนด่วนใจร้อน
มองข้ามคุณค่าคำสื่อสอนจากจิตจักรวาลไป
ทั้งๆที่ตนเองนั้นยังมิทันเข้าใจ
เพียงแต่แค่คิดว่า "ตนรู้แล้ว" เท่านั้นเอง
เราจึงช่วยไถ่บาปให้พวกท่านไม่สำเร็จ
ห้องเรียนเราจึงมีนักเรียนเก่าหลายตน
ละทิ้งโรงเรียนไปเรื่อยๆ
เพราะมองดูว่าครูเสื่อม!
บรรยากาศช่างวังเวงเสียจริงๆ
ไม่ต่างจากโลกนี้ที่จะมีผู้คน
เหลือจากปฏิบัติการชำระโลกน้อยมาก
ในวันนั้นจักเป็น "วันเหลือน้อย"
น้อยเสียจนวังเวง....เลยเชียว...ล่ะ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2-2-2016

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น