วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

จิตสุดท้ายก่อนตาย




นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย

มีผู้กล่าวสอนต่อๆกันมาว่า
จิตสุดท้ายก่อนตายนั้นมันควบคุมยากที่สุด
ถ้าจิตตกก็จะไปปฏิสนธิ
ในภพภูมิที่ต่ำๆหรืออบายภูมิ
แล้วยังกล่าวด้วยว่าเป็นไปได้มากเหลือเกิน
ที่คนจำนวนมากที่ท่านรู้จัก
จะไม่มีใครเลยที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ไม่เว้นแม้กระทั่งคนกล่าวบทความนี้เอง
เขาว่าของเขาอย่างนี้...

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำกล่าวที่ว่าจิตสุดท้ายก่อนตาย
เป็นกลไกสำคัญที่จะกำหนดว่า
เมื่อตายแล้วดวงจิตธรรมญาณรูปธรรมนั้น
จะไปปฏิสนธิอีกในภพภูมิใด
จะสามารถ "หลุดพ้น" หรือ นิพพานได้หรือไม่
นั้นเป็นความจริงที่จริงแท้

แต่เรามีประเด็นที่จะติติงคำสอนข้างต้นนั้น
ตรงประโยคสำคัญที่ว่า....
"จิตสุดท้ายก่อนตายนั้นมันควบคุมยากที่สุด"
เราจะขออนุญาตกล่าวแสดงความเห็นว่า

1.ถ้าฝึกควบคุมจิตด้วยการมุ่งกำหนดจิต
ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางเท็คนิกกันมาเป็นนิจแล้ว
หากเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
ได้ผลและเหมาะสมจริงแล้ว
ใยจิตสุดท้ายก่อนตาย
ท่านยังยอมรับว่ามันควบคุมยากอยู่อีกล่ะ
ทักษะความชำนาญมิได้เกิดขึ้นเลยหรือ

2.เรามีความเห็นว่า
วิธีการฝึกควบคุมจิตด้วยการเฝ้าดูอาการว่า
สงบอยู่ สมดุลอยู่ หรือว่า
เสียสมดุลแล้ว แบบไหน ตอนไหน
ก็พยายามข่มความไม่สมดุลนั้นไว้
จนดูเหมือนว่าจิตนั้นสงบงันได้จริงๆ
ขณะที่ว่างไปจากสิ่งเร้าภายนอก
เพราะปิดหูด้วยการอยู่คนเดียว
ปิดตามองไม่เห็นสิ่งเร้า

สถานการณ์ฝึกหัดในชีวิตประจำวัน
ขณะปลีกวิเวกเพื่อปฏิบัติจิตอยู่นั้น
มันต่างกันกับสถานการณ์ที่คนกำลังจะตาย
เพราะสภาวะจิตที่เกิดอาการสั่นสะเทือนอยู่นั้น
ต่างกรรมต่างสถานการณ์มันต่างกัน

กิเลสตัณหาในชีวิตประจำวันนั้น
จะควบคุมจิตตนเองได้ง่ายไม่ยากเย็นนัก
เพราะมันเกิดจากความงมงาย
ที่จิตปรุงแต่งมันขึ้นมาเอง
มันมิใช่ความจริง
เพียงแค่หาสติเจอใช้ปัญญาเป็น
กิเลสตัณหาตัวไหนที่มันผุดขึ้นที่ในจิต
ท่านก็สามารถจะเอาอยู่จัดการได้แล้ว

แต่อาการของจิตเมื่อก่อนตายน่ะ
มันมิได้เกิดจากการปรุงแต่ง
เพราะมิใช่ตัวกิเลสตัณหาที่ตนเองคุ้นเคย
และเชี่ยวชาญในการบังคับจิต

ตัวอย่างเช่น...
ความกลัวตาย
เพราะไม่อยากตายเลยจริงๆ
ความเจ็บปวด
เพราะเจ็บปวดจากโรคภัยจริงๆ
ความเศร้าหมอง
เพราะต้องจากคนที่รักไปตลอดกาลจริงๆ
เหล่านี้เป็นต้น

3.อาการทางจิตเมื่อก่อนตายนั้น
นักฝึกควบคุมจิตส่วนใหญ่ย่อมรู้ดีว่า
ไม่ง่ายเลยที่จะจัดการให้มันสงบได้
ภายในเวลาก่อนสิ้นใจไม่กี่นาที

4.เราขอย้ำต่อท่านทั้งหลายว่า
ธรรมะหมายถึงธรรมชาติ

การปฏิบัติธรรมจึงหมายถึง
การปฏิบัติตนไปตามธรรมชาติ
การปฏิบัติตนไปตามธรรมชาติ
จึงหมายถึงการไม่ฝืนความจริง

ดังนั้น การพยายามจะควบคุมจิต
ในวินาทีสุดท้ายก่อนตาย
เพื่อดวงจิตธรรมญาณจะได้ไปสู่สุคติ
ตามคำสอนผู้อื่นที่เรานำมาแสดงความเห็นอยู่นี้
จึงน่าจะไม่เหมาะสมเพราะไม่ได้ผล
อีกทั้งยังฝืนธรรมชาติของจิตเองอีกด้วย

ที่ว่าฝืนธรรมชาติก็เพราะเหตุว่า
วิธีควบคุมจิตนั้นเป็นการ "ใช้อำนาจเหนือ"
ด้วยการใช้จิตข่มจิตตนเองไว้
ซึ่งเป็นการก้าวล่วงตนเองโดยแท้

5.เรามีคำแนะนำต่อท่านทั้งหลายว่า
จิตสุดท้ายก่อนตายนั้น
ท่านไม่ต้องยุ่งยาก
กับการคิดจะควบคุมเขา
ให้สงบสมดุลเพื่อไปสู่สุคติภพก็ได้
เพียงแค่ชั่วชีวิตของท่าน
ในช่วงวันเวลาที่เหลืออยู่นี้
ให้ฝึกปฏิบัติตนไว้ดังต่อไปนี้

ฝึกรักคนที่ไม่น่ารักให้ได้
ฝึกให้อภัยคนที่ไม่น่าให้อภัยให้เป็น
ฝึกใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต
ฝึกการมีมรณานุสติ
ฝึกการละวางมายาและอัตตา
เพื่อทำให้จิตว่าง สว่าง สงบ
ฝึกการยอมรับและการปรับตัว
ฯลฯ

การสอนจิตในชีวิตประจำวัน
ให้รู้จักคำว่าสุขสงบ
จนเกิดเป็นคุณสมบัติของจิตได้
โดยไม่ใช้วิธีบังคับข่มใจ
ดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
มันง่ายกว่ากันเยอะเลย

ท่านยังจะหยิบฉวยมาใช้ในวินาทีสุดท้าย
เพื่อการตายอย่างสงบสุขได้อีกด้วย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
1-12-2015

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น