วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีสร้างตนเอง ให้มีคุณค่า



พี่ๆน้องๆเพื่อนร่วมโลกแห่งเราทั้งหลาย
เรามีความจริงจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
การนับถือศาสนา คือ
การยอมรับในพระศาสดา
การยอมรับในพระศาสดา คือ
การรับฟังธรรมะที่พระองค์ตรัสไว้
การรับธรรมะที่พระองค์ตรัสไว้ คือ
เรียนรู้ว่าพระองค์ทรงสอนอะไร
สอนว่าอย่างไร
ต่อจากนั้นท่านก็ต้องคิดเองต่อไปให้ได้ว่า
จะปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาในเรื่องนั้นๆ
ให้สำเร็จจริงๆกันได้อย่างไร
มิใช่เรียนธรรมะแค่ดีแต่ท่องจำ แล้วทำตาม
แต่มิได้ซาบซึ้งในรสพระธรรมนั้นๆเลย
เสมือนจวักตักแกงแต่มิเคยรู้รสแกงนั่นแหละนะ
มิใช่รู้ธรรมะแค่ว่า ต้องคิดดี พูดดี ทำดี
มัน ง้าย...ง่าย...เสียนักหนา
ทั้งๆที่คนพูดเองป่านนี้ก็ยังก้าวล่วงคนอื่น
ด้วยอายตนะทั้งหก
โดยสอบตกบททดสอบอยู่ทุกวัน
มิใช่รู้ธรรมะว่า...
แค่.....มีศีล สมาธิ ปัญญา ก็นิพพานได้แล้ว
ถามจริงๆเถอะท่าน....
กี่ภพชาติแล้วที่ท่านเสียชาติเกิดเพราะเชื่อแบบนี้
จนเสียทีที่วนเวียนมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ซ้ำซาก
ถ้าการปฏิบัติธรรมนำพาแก่นแท้ของท่าน
สู่การหลุดพ้นคือกลับบ้านนั้นมันง่ายจริง
ใยดาวเคราะห์โลกดวงนี้.....
ต้องมีพระศาสดาจุติมาฉุดช่วย
ในต่างยุคต่างสมัยนับได้ 24 พระองค์เข้าไปแล้ว
ใยท่านเองยังคงหลุดพ้นไปไม่ได้
เราจะบอกความจริงให้ท่านรู้ว่า
ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นในภพชาติเดียวนั้น
จักต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่า
นัยสำคัญของผู้ประพฤติธรรมนั้นมี 3 ประการ คือ
1.ต้องเรียนรู้ให้ได้ว่าพระศาสดาทรงสอนอะไรไว้?
2.ต้องคิดรู้ด้วยสมองตนเองให้ได้ว่า
จะทำตามที่พระองค์สอนเอาไว้นั้นได้อย่างไร?
3.เมื่อรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะบรรลุธรรม
ตามที่พระศาสดาทรงสอนไว้นั้นแล้ว
ก็ต้องนำเอาวิธีปฏิบัติที่ท่านคิดเองได้นั้น
ไปปฏิบัติในชีวิตจริงให้เห็นแจ้งต่อไป
อย่าใช้สมองซีกซ้ายตื้อๆคิดเองตื้นๆ
หรือหลงยึดติดความรู้เดิม ความเชื่อเดิม
เสมือนกักขังตนเองไว้ในคอก
โดยไม่ศึกษาเพิ่มเติมด้วยการอ่านให้มาก
รับฟังคุรุหรือผู้รู้ให้มากเข้าไว้
เพื่อท่านจะได้ฉลาดขึ้น รู้มากขึ้น
มิใช่รู้แค่ที่รู้อยู่แล้วเที่ยวอวดรู้
ไปโชว์โง่ประจานตัวเองในหมู่ปราชญ์เมธี
อย่างกรณีเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา นี่ก็เช่นกัน
เป็นข้อธรรมะที่ดีมากที่พระศาสดาทรงสอนไว้
เราเห็นด้วย 1000 เปอร์เซ็นต์เลยว่า
ผู้ใฝ่ธรรมนั้นจักข้ามไปเสียมิได้
แต่ในฐานะที่เรามาชี้ทางพวกท่าน
ที่เลือกเส้นทาง "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง" กลับบ้าน
เราจึงขอติงท่านทั้งหลายว่า
การจำแบบนักรบแห่งแสงสว่างมาทำตามนั้น
มันมิใช่จริตของพวกท่านหรอก
เรายกตัวอย่างเรื่อง "สมาธิ"
พวกท่านติดใจกับการปฏิบัติกรรมฐาน
ด้วยการนั่งหลับตาแล้วก็บอกใครๆว่านั่งสมาธิ
หากเป็นนักบวช
เขาปฏิบัติตามพระพุทธองค์
นั่นน่ะชอบแล้ว...เหมาะแล้ว.....ดีแล้ว
เพราะนักบวชสละแล้วซึ่งทางโลก
ไม่มีภารกิจทางโลกิยะให้ต้องรับผิดชอบอีก
เพราะลาสิกขาบท ละแล้วซึ่งอาสวกิเลสทั้งปวง
พวกนักบวชเขาปลีกวิเวกอยู่ท่านเดียว
ย่อมต้องปฏิบัติธรรมตามลำพังคนเดียว
แต่พวกท่านส่วนใหญ่ "สละโสด" กันมากกว่า
ยังต้องมีครอบครัว มีบริษัทบริวาร มีสังคม
มีผู้คนใกล้ตัวรอบข้างที่สร้างสัมพันธ์ไว้มากมาย
การปฏิบัติสมาธิของท่าน
จึงต้องกระทำทั้งในยามอยู่คนเดียว
และเมื่อมีบุคคลอื่นอยู่รายรอบ
อีกทั้งอายตนะทั้งหกต้องเปิดกว้าง
จะปิดหู หลับตา หุบปาก เก็บใจ ไม่ได้!
เราจะให้นิยามต่อท่านทั้งหลายไว้ว่า
"สมาธิ" มิใช่แค่กิจกรรมการนั่งกรรมฐาน
ออกจากกรรมฐานท่านก็ยังต้องฝึกสมาธิ
เพราะคำว่า "สมาธิ" นี้
ในวิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
พระบิดาทรงหมายถึง
"การคิด การพูด การฟัง การกระทำ
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ติดต่อกัน
ให้ได้เป็นเวลานานๆ จนกว่าจะคิดออก
จนกว่าจะเข้าใจ หรือ จนกว่าจะสำเร็จ
โดยจะไม่เลิกคิด เลิกพูด เลิกฟัง
หรือ เลิกกระทำเสียกลางคัน"
เอเมน....สาธุ.....
ป.วิสุทธิปัญญา
31-12-2014

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น