วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

คนสองมิติ 2




คำนำผู้นิพนธ์
ถ้ามนุษย์ยังเข้าถึงความเป็นจริงของตนเอง ซึ่งเป็นความลับเบื้องหลังมิติโลกไม่ได้ มนุษย์ย่อมไม่มีวันยกระดับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ในเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนเอง ให้คืนสู่คุณสมบัติสุญญตาอันเป็นคุณสมบัติแต่เดิมของตนได้เลย
ความเป็นจริงซึ่งเป็นความลับเบื้องหลังมิติโลกของมนุษย์แต่ละคนนั้น มีมากมายหลายสิ่งที่ถูกปกปิดมิติไว้โดยที่มนุษย์ยังไม่รู้ทั้ง ๆ ที่อยากรู้ และที่ยังไม่รู้ว่าตนจะต้องรู้ในสิ่งใดอีกบ้าง การจะล่วงรู้ในความลับเหล่านี้นั้นมนุษย์ในยุคพลังงานเก่าสามารถกระทำได้ 2 ทาง คือ
1.ใช้ปัญญาญาณของตนเอง
2.ศึกษาธรรมะและโอวาทของพระศาสดา
มนุษย์จะต้องรู้ว่าแต่เดิมมานั้นมนุษย์ทุกคนที่มีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ซึ่งได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์ภพชาติแรก เมื่อต้นยุคพลังงานเก่าในหกหมื่นปีเศษที่ผ่านมานั้น ทุก ๆ คนต่างล้วนมีความสามารถในการใช้สติปัญญาของวิญญาณ หรือ มีปัญญาญาณ ที่จะล่วงรู้ความลับเบื้องหลังมิติโลกของตนเองได้ทุกสิ่ง เช่น รู้ว่าตนเองเป็นใคร ? มาจากไหน ? มาเกิดบนดาวเคราะห์โลกทำไม ? มีหน้าที่อะไร ? เป็นต้น แต่เมื่อได้มีโอกาสมาสู่รูปธรรมมนุษย์แล้วกลับทำตนเหลวไหล หลงในมิติทางกายภาพของสรรพสิ่งต่าง ๆ ในระบบโลก จนเกิดการสับสนในตนเองระหว่างสรรพสิ่งที่เป็นมายากับแก่นแท้ ทำให้สภาวะจิตที่เป็นสุญญตาแต่เดิมเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ ขณะที่กระบวนการในการใช้สติปัญญาทางสมองระบบเดิม คือ การใช้สมองซีกขวานำซีกซ้ายในการคิดรู้ด้วยปัญญาญาณ ถูกเปลี่ยนแปลงไปในทางตรงกันข้ามโดยมนุษย์เปลี่ยนมาใช้ กระบวนการของสมองซีกซ้ายนำซีกขวาแทนระบบเดิมนั่นคือ การใช้จิตหยาบแทนจิตวิญญาณเพื่อการคิดรู้ นั่นเอง
มนุษย์จึงปิดบังมิติทางปัญญาญาณอันสูงส่งของตนเองกันมาตั้งแต่บัดนั้น
เหตุที่กลไกการใช้สติปัญญาทางสมองของมนุษย์เปลี่ยนระบบมาเป็นซ้ายนำขวาจนทุกวันนี้เหตุเพราะว่ามนุษย์ในยุคพลังงานเก่ารุ่นหลัง ๆ ก่อนมาถึงปลายยุคพลังงานเก่าในขณะนี้ กระทำผิดอยู่ 3 ประการ คือ
1.หลงเงามายาแวดล้อมทุกสรรพสิ่งว่าเป็นตัวตนแก่นแท้
2.หลงยึดติดในตัวตนของมายาแวดล้อมทั้งหลายเหล่านั้น
3.ก่อกิเลสตัณหาอันเป็นโลกิยะขึ้นเป็นสันดานในจิตเพราะติดยึดอยู่กับมายาเหล่านั้น
ถ้ามนุษย์ติดตามถามหาแต่สรรพสิ่งที่เป็นตัวตนซึ่งเป็นมายาแทนที่จะถามหาคุณสมบัติของสรรพสิ่งนั้น ๆ แล้ว สมองซีกซ้าย จะถูกกระตุ้นให้สั่นสะเทือนนำหน้าซีกขวาเพื่อการคิดรู้ในทันที เพราะพระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลผู้ทรงสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์ได้ทรงกำหนดคุณสมบัติการทำงานของมันเอาไว้เช่นนั้นเอง
ถ้ามนุษย์ใช้อารมณ์หยาบ ๆ ด้วยคลื่นความถี่ของจิตแบบหยาบ ๆ เช่น อารมณ์ที่เป็นกิเลสตัณหาทั้งหลาย เป็นตัวกระตุ้นการสั่นสะเทือนเพื่อการคิดรู้ของสมองเมื่อใด สมองซีกซ้ายจะชิงทำหน้าที่เป็นผู้นำสมองซีกขวาเพื่อการใช้สติปัญญาก่อนเสมอ เพราะเหตุว่าสมองซีกซ้ายไวต่อคลื่นความถี่ของจิตที่สั่นสะเทือนด้านลบหยาบ ๆ หรือไวต่อคลื่นความถี่ต่ำ ๆ มากกว่าสมองซีกขวานั่นเองเพราะพระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลผู้ทรงสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์ ได้ทรงกำหนดคุณสมบัติการทำงานของมันเอาไว้เช่นนั้นเอง
การสับสนในตนเองระหว่างมายากับแก่นแท้ กับความมีกิเลสตัณหาครอบงำจิตใจ เพราะไปหลงยึดติดในตัวตนมายาทั้งหลายแล้วจิตคิดปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์หยาบ ๆ ขึ้นมาใหม่ ทั้ง ๆ ที่จิตวิญญาณเดิมแท้รู้จักเพียงแค่อารมณ์เดียว คือ ความรักบริสุทธิ์ เท่านั้น จึงทำให้มนุษย์มีพลังอำนาจทางวิญญาณเสื่อมถอยลง ขณะที่มิติทางปัญญาญาณก็ถูกปิดสนิทเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้เอง มนุษย์โลกทั้งหลายจึงพากันว่ายวนอยู่ในทะเลโลกีย์ จนไม่รู้ว่าทิศทางไปสู่แดนสุญญตา ต้องไปทางใด ต่างคนต่างกักขังตนเองไว้ในระบบดาวเคราะห์โลกเสรี ด้วยการสร้างกระบวนการของกฎแห่งกรรมขึ้นแล้วก้มหน้าก้มตาขับเคลื่อน กงล้อแห่งกรรม ของตนหมุนรุดไปข้างหน้า แทนที่จะขับเคลื่อนจิตวิญญาณตนเองไปตาม กงล้อแห่งกรรม จนไม่อาจดับการเกิดดับของกิเลสตัณหาในสภาวะจิตหยาบของเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนได้เมื่อดับมันไม่ได้การเกิด แก่ เจ็บ ตาย และตายแล้วเกิดใหม่ของมนุษย์จึงมิอาจหยุดการเกิดดับได้เช่นเดียวกัน
มนุษย์จึงไม่รู้ว่า สุญญาตา คืออะไร ?
นิพพาน มีจริงหรือไม่ ? ทำได้อย่างไร ?
ไม่รู้ที่มาที่ไปของตนเอง ไม่รู้ว่าถิ่นฐานบ้านเดิมของ จิตวิญญาณตนเองนั้นอยู่ที่ไหน ?
มนุษย์เลอะลืมจนหมดสิ้นไปทุกสิ่ง
น่าเศร้าใจหรือไม่ที่มนุษย์โลกทั้งหลายปิดมิติทางปัญญาญาณตนเองไว้เสียสนิท
มนุษย์ลืมถิ่นฐานบ้านเก่าของจิตวิญญาณของตนเองเสียจนไม่เคยคิดจะกลับย้อนคืน
มนุษย์ลืมแม้กระทั่งคุณสมบัติสุญญตาอันเป็นคุณสมบัติเดิมของแก่นแท้คือจิตวิญญาณของตนเอง เมื่อครั้งแรกที่มาเกิดเป็นมนุษย์ จนไม่คิด แก้ไขเพื่อคืนคุณสมบัติแห่งสุญญตาอันสูงส่งแก่ดวงจิตวิญญาณตนเองเลย
ที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่งก็คือ มนุษย์โลกทั้งหลายเลอะลืมแม้กระทั่งพระบิดาผู้ทรงให้กำเนิดจิตวิญญาณของตนเอง โดยมนุษย์จดจำไม่ได้ว่าตนนั้นยังมีพระบิดาเฝ้ารอคอยการกลับคืนของบุตรทั้งหลายอยู่ ขณะที่มนุษย์จำนวนมากเมื่อได้ยินเรื่องราวของพระบิดาจากโอษฐ์ของพระศาสดาผู้ขันอาสาพระบิดาให้มาเตือนสติพี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งหลาย ก็กลับจาบจ้วงล่วงเกินโดยมิคิดตรึกตรองให้แยบคายเสียก่อน
มนุษย์โลกล้วนผิดบาปและอกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดตนเองโดยไม่รู้ตัว
พระคัมภีร์จิตจักรวาลทุก ๆ ซีรี่ส์จนถึงซีรี่ส์ 12 คือ คนสองมิติ เล่มนี้ ล้วนเป็นสัจธรรมคำสอนและโอวาทขององค์จิตจักรวาลซึ่งบุตรมนุษย์ ทั้งหลายพึงกล่าวพระนามเรียกขานพระองค์ว่า พระบิดา ได้ทรงประทานผ่านคลื่นการคิดรู้ด้วยปัญญาญาณของผู้นิพนธ์มาให้เพื่อจะได้บันทึกและเผยแพร่ สู่พี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อนร่วมโลกต่อไป สัจธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนเป็น ธรรมะในยุคพลังงานใหม่ ที่ทรงเมตตาอธิบายขยายความให้เห็นเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อเติมเมความรู้เดิมของมนุษย์ที่ไม่อาจเข้าถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งด้วยตนเองได้ เพราะบกพร่องด้านการใช้ปัญญาญาณเนื่องจากปิดมิติทางปัญญาของตนเองไว้ด้วยการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา และการใช้ความคิดแบบจิตมนุษย์ คือ คิดไม่เป็น คิดไม่สุด และคิดหาแต่ตัวตนของตนแทนการคิดค้นหาคุณสมบัติของตัวตน นั่นเอง
ถ้ามนุษย์ยอมรับว่า คลื่นความคิดความรู้ใหม่ที่หลากหลายซึ่งบันทึกไว้ในแต่ละซีรี่ส์ที่ผ่านมาล้วนมีคุณค่าพอต่อการฉุดช่วยตนเองให้เกิดความมีสติและมีสำนึกทางจิตวิญญาณขึ้นมาได้บ้างละก็ ซีรี่ส์ที่ 12 ตอน คนสองมิติ เล่มนี้ คือ ภาพรวมในความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงโครงสร้างทางกายภาพในมิติโลกและโครงสร้างทางจิตวิญญาณในมิติทางพลังงานแก่นแท้ ที่มีความเกี่ยงข้องสัมพันธ์กันอยู่อย่างลงตัว จนอาจกล่าวได้ว่ามนุษย์แต่ละคนก็คือ สรรพสิ่งหนึ่งซึ่งดำรงตนเองอยู่ในมิติคู่ขนานบนดาวเคราะห์โลกเสรี นั่นเอง
มนุษย์ในมิติคู่ขนาน หมายถึง การที่มนุษย์แต่ละคนถูกกำหนดสร้างให้เป็นสรรพสิ่งหนึ่ง ที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์แห่งกรรมซึ่งมีมวลหยาบ ๆ แต่สลับซับซ้อน และภายในเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์นั้นก็จะมีรูปธรรมทางพลังงานที่เรียกว่า จิตวิญญาณ เร้นอยู่ภายในเพื่อเป็นแก่นแท้ด้วยกันทุกคน
หน้าที่ของทุก ๆ คนก็คือ จะต้องสร้างความสมดุลให้กับระบบโลกทั้งทางกายภาพและทางพลังงานให้จงได้ แน่นอนว่าถ้าจะสร้างความสมดุลในทางกายภาพ มนุษย์ก็จำต้องอาศัยอวัยวะร่างกายของเครื่องยนต์แห่งกรรมเป็นเครื่องมือในการกระทำจึงจะบรรลุผลที่ต้องการได้ และถ้าจะสร้างความสมดุลทางพลังงาน มนุษย์ก็จะต้องอาศัยรูปธรรมทางพลังงานของจิตวิญญาณเองเป็นผู้กระทำเท่านั้นจึงจะบรรลุผลที่ต้องการได้
การสร้างความสมดุลกับสรรพสิ่งอื่นในระบบโลกในมิติทางกายภาพ หรือมิติแห่งมายาหรือตัวตนนั้น หมายถึง การทำตนเองให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันกับสรรพสิ่งอื่นหรือมนุษย์คนอื่น ๆ โดยสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เบียดเบียนกันหรือทำร้ายทำลายกันให้จงได้
กล่าวสั้น ๆ คือ มนุษย์จะต้องไม่กระทำการใด ๆ ในอันที่จะลดน้ำหนักมวลของระบบดาวเคราะห์โลกด้วยการทำลายทำร้ายให้เสียหายหรือการเพิ่มน้ำหนักมวลด้วยกานสร้างวัตถุเทคโนโลยีขยะขึ้นมาใหม่ ๆ ให้รกโลก มนุษย์เองก็รู้ดีว่าถ้าดาวเคราะห์โลกมีน้ำหนักมวลบนพื้นผิวลดลงจากเดิม หรือเพิ่มขึ้นจากเดิมที่พระบิดาทรงกำหนดค่าคงที่เอาไว้ให้แล้วละก็ สภาวะการเสียสมดุลของระบบดาวเคราะห์โลกย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
เมื่อโลกเสียสมดุลจนเกินแก้ไขกรณีชำระโลกครั้งที่สี่อันเป็นครั้งสำคัญจึงต้องเกิดขึ้นอย่างที่กำลังจะเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง
ดาวเคราะห์โลกเสียสมดุลไปมากมายในปลายยุคพลังงานเก่าปีพ.ศ. 2544 นี้ เป็นเพราะว่าตลอดระยะเวลาหกหมื่นแปดร้อยปีเศษที่ผ่านมา มนุษย์โลกไม่เห็นแจ้ง ไม่เข้าใจแจ้ง และไม่รู้แจ้งในความเป็นคนสองมิติของตนเองเลย กล่าวคือ
มนุษย์ไม่รู้จักตนเองนั่นเอง
เมื่อมนุษย์ไม่รู้จักตนเอง หรือไม่รู้จักความเป็นคน 2 มิติของตนเอง มนุษย์จึงแสดงออกซึ่งความเหลวไหลและล้มเหลวในการใช้ดวงจิตวิญญาณและเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนทำหน้าที่ในระบบโลกกันตลอดมา มิหนำซ้ำยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งล้มเหลวมากยิ่งขึ้นอีกต่างหาก ไม่ต่างไปจากคำกล่าวที่ว่า กิเลสยิ่งหนาปัญญาญาณยิ่งเสื่อม หรือที่มนุษย์กล่าวกันเองว่า กิเลสหนาปัญญานิ่ม นั่นเอง
มนุษย์ทุกคนถูกสร้างให้เป็นคนสองมิติ ซึ่งต่างล้วนมีพลังอำนาจในตนเองที่จะก่อให้เกิดกระบวนการเพื่อการดำรงอยู่กระบวนการเพื่อการสร้างใหม่ และกระบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งในมิติทางกายภาพและในมิติทางพลังงานด้านจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของตนได้เสมอ โดยที่มนุษย์จะต้องรู้ว่ากระบวนการหลักทั้งสามกระบวนการนั้น ถ้ามนุษย์จะสั่นสะเทือนทั้งสองมิติของตนเองให้ถูกต้องแล้ว จะต้องสั่นสะเทือนมันทางด้านบวกเท่านั้นนั่นคือ ต้องคิดรู้สึกด้านบวกเพื่อการกระทำทางกายภาพด้านบวกแต่เพียงด้านเดียว
การสั่นสะเทือนเป็นความคิดรู้สึกด้านบวกหรือด้านลบของมนุษย์จะเกิดขึ้นตรงตาที่สาม เมื่อมีการรับรู้และรับเอาเกิดขึ้นเสมอการสั่นสะเทือนเพื่อการรับเอาตรงตาที่สามของมนุษย์ สามารถบอกได้ว่าเป็นการสั่นสะเทือนทางพลังงานด้านบวกหรือลบกันแน่ จะต้องดูจากกลไกอีกชิ้นหนึ่งภายในกะโหลก ศีรษะมนุษย์เอง ซึ่งมีชื่อเรียกขานว่า คอพัสคอลโลซัม เมื่อใดก็ตามที่ตาที่สามเกิดการสั่นสะเทือนเป็นการคิดรู้สึกขึ้น จะส่งผลให้คอพัสคอลโลซัมสั่นสะเทือนตามไปด้วยเสมอ เมื่ออวัยวะชิ้นนี้สั่นสะเทือนขึ้นมาเมื่อใด มันจะมีหน้าที่สร้างสายธารของประจุไฟฟ้าขึ้นมาใหม่เป็นบวกหรือลบอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ
ถ้าคอพัสคอลโลซัมสร้างสายธารของประจุไฟฟ้าลบปลดปล่อยออกมา แสดงว่าสิ่งที่จิตมนุษย์กำลังสั่นสะเทือนตรงตาที่สามหรือต่อมไพนีลเกิดเป็นการคิดรู้สึกอยู่ในขณะนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ถ้าคอพัสคอลโลซัมสร้างสายธารของประจุไฟฟ้าบวกปลดปล่อยออกมา แสดงว่าสิ่งที่จิตมนุษย์กำลังสั่นสะเทือนตรงตาที่สามเพื่อการคิดรู้สึกอยู่นั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมยิ่งแล้ว
ถ้าจะสรุปคร่าว ๆ ก็คือ คอพัสคอลโลซัมจะสร้างสายธารประจุลบออกมา ทันที ถ้าหากมนุษย์สั่นสะเทือนทางการคิดรู้สึกของจิตหยาบตรงตาที่สาม ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาทั้งปวง และมันจะสร้างสายธารประจุบวกออกมาทันทีเช่นเดียวกัน ถ้าหากมนุษย์สั่นสะเทือนทางการคิดรู้สึกของจิตหยาบตรงตาที่สาม ด้วยอำนาจของความรัก
มนุษย์ผู้ปิดมิติการใช้ปัญญาญาณของตนไว้ด้วยอำนาจของกิเลส จึงสั่นสะเทือนตนเองในสองมิติเป็นด้านลบเหมือนต้องการแสดงพลังอำนาจด้านลบอย่างไรอย่างนั้น โดยไม่รู้ว่าตัวตนมนุษย์เองถูกสร้างขึ้นและกำหนดให้มีพลังอำนาจอยู่ในตนเองมาตั้งแต่แรกสร้างแล้วอำนาจที่มนุษย์สั่นสะเทือนได้ทั้งสองมิติของแต่ละคนจะมีอยู่ด้วยกันสองด้าน คือ อำนาจด้านบวกก็มีอำนาจ และอำนาจด้านลบก็มีอำนาจและอำนาจที่พระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลมีพระประสงค์ให้มนุษย์เข้าให้ถึงและนำออกมาใช้ก็คือ อำนาจด้านบวกเพียงด้านเดียวแต่เนื่องจากมนุษย์สับสนในตนเอง ตกเป็นทาสของกิเลส จนเกิดการหลงมิติทางจิตขึ้น มนุษย์จึงกลับคุ้นเคยต่อการใช้อำนาจด้านลบสั่นสะเทือนตนเองทั้งสองมิติอยู่ตลอดมา
ดาวเคราะห์โลกทั้งระบบ เพื่อนร่วมโลก และดวงจิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละคนจึงหาความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งระบบไม่ได้ เพราะอำนาจด้านลบมีไว้เพื่อการผลักไสซึ่งกันและกันแต่อำนาจด้านบวกเท่านั้นที่ทุก ๆ สรรพสิ่งต่างต้องมีไว้เป็นคุณสมบัติของตัว เพื่อการดึงดูดเหนี่ยวรั้งผู้อื่นสรรพสิ่งอื่นให้มาเป็นพวกเดียวกัน หรืออยู่ในระบบเดียวกัน
นี่ถ้าหากมนุษย์ไม่ปิดมิติทางปัญญาญาณของตนเองไว้ ด้วยการหมกมุ่นมัวเมากับกิเลสตัณหา จนพาให้จิตวิญญาณเสื่อมอำนาจแห่งสุญญตาไปหมดสิ้น มนุษย์ย่อมเข้าถึงการเป็นคนสองมิติได้ตั้งนานแล้ว จิตวิญญาณแต่ละคนมิพักต้องเวียนว่ายตายเกิดกันมากว่าหกหมื่นปีเพราะนิพพานไม่ได้ตราบจนบัดนี้ และแน่นอนว่ากรณีชำระโลกทั้งสองมิติ คือมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงานครั้งที่ 4 ก็คงมิต้องกำหนดวันเวลาให้เร็วขึ้นเช่นนี้ นอกจากนั้นพระศาสดาศรีอริยะเมตไตรย์ก็คงมิต้องทรงเปิดเผยพระองค์ เพื่อประกาศสัจธรรมแห่งองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน
มนุษย์โลกที่ผ่านมาพากันเหลวไหล งมงาย ไม่ใส่ใจในธรรมะขององค์พระศาสดาของตนอย่างแท้จริง มุ่งฝักใฝ่กับโลกวัตถุวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้วยการสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาสิ่งหนึ่งพร้อม ๆ กับการทำลายอีกสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่งไป ชอบแสวงหาอำนาจเหนือนำผู้อื่นมากกว่าที่จะแสวงหาอำนาจแท้จริงในตนเอง และใฝ่อุตริริอ่านเป็นผู้วิเศษโดยกระทำตนเหนือมนุษย์คนอื่น เหนือธรรมชาติของพระบิดา เสมือนจะเป็นพระเจ้าหรือพระบิดาเสียเองก็มิผิดนักความวุ่นวายสับสนบนพื้นผิวดาวเคราะห์โลก อันเกิดจากเหตุทั้งหลายเหล่านี้ เป็นภาพรวมที่ดีที่บ่งบอกมนุษย์โลกทั้งหลายให้รู้ได้เองว่ามันคือการเสียสมดุลของระบบโลกทั้งทางพลังงานและด้านน้ำหนักมวลทางกายภาพ อันเกิดจาก มนุษย์โลกเองไม่สมดุล เข้าถึงการเป็นคนสองมิติไม่ได้
มนุษย์ที่เหลือรอดจากการชำระโลก และมนุษย์โลกยุคพลังงานใหม่ในระดับสมการทางพลังงานสามมิติที่ 6-6-6 คือผู้มีหน้าที่ถ่ายทอดความจริงที่ล้มเหลวในยุคพลังงานเก่าซึ่งจวนจะสิ้นสุดลงแล้ว ไปสู่มนุษย์ยุคพลังงานใหม่ให้ได้รู้ได้เรียนได้จดจำเพื่อสร้างความมีสติแก่ตน สู่การเป็นคนสองมิติที่แท้จริงสำหรับโลกยุคพลังงานใหม่ตลอดไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น