วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พูดในสิ่งที่รู้ไม่จริง เป็นความผิดบาปอย่างยิ่ง




ตอบคำถาม:
K.Nika R. Narchy

ท่านอาจารย์คะ 
ศิษย์รบกวนกราบเรียนถามได้ไหมเจ้าคะ 
ช่วงนี้ศิษย์ให้นมลูก 
แล้วถูกบังคับให้ทานเนื้อสัตว์
เพราะเขาเชื่อว่า
การทานเนื้อสัตว์นั้นมีประโยชน์ 

บอกว่ากลัวลูกขาดสารอาหาร 
รวมถึงคนรอบข้างที่รู้จักอีกมากมาย 
ก็บอกว่าให้นึกถึงลูกด้วย 
ให้เราทานไปก่อน 
พอเลิกให้นมลูกแล้ว 
ค่อยกลับมาทานมังสะก็ได้ 

ศิษย์ก็พยายามอธิบายให้เขา 
ก็ไม่มีใครเข้าใจ 
เพราะเขาเชื่อไม่เหมือนเรา 
จนบางครั้งก็กลายเป็นการเถียงกันไปอีก

เวลาทานข้าว
เขาจะคอยตักอาหารบังคับให้ทาน 
ศิษย์เลยจำใจต้องทาน
เพราะไม่อยากเถียงกับเขา 
บางครั้งก็แอบเอาไปทิ้ง 
แล้วโกหกว่าทานไปแล้ว 
หรือถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน 
เขาก็จะถามว่าทานข้าวกับอะไร 
ศิษย์ก็จะบอกว่าทานไก่ทานหมูอะไรไป 
ทั้งที่ไม่ได้ทาน กลายเป็นโกหกไปอีก 
ถ้าอย่างนี้แล้วศิษย์ควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ

#Question:
1. ศิษย์ควรยืนยันปณิธานว่า
จะนิพพานต่อเขาโดยไม่ยอมที่จะทาน
ตามที่เขาบังคับได้ไหมเจ้าคะ 

2.ถ้าไม่ทานตามที่เขาบังคับแล้ว
ทำให้เขาโกรธจนจิตเสียสมดุล 
จะเป็นการสร้างกรรมเพิ่มอีกไหมคะ

3.การโกหกของศิษย์นั้น
ก็เป็นบาปใช่ไหมเจ้าคะ

กราบขอบพระคุณพระอาจารย์เจ้าค่ะ

#Answer:
1.ในสังคมมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้
ยังหลงเชื่อว่าสารอาหารโปรตีนที่ดีที่สุด
สำหรับมนุษย์ต้องได้จากเนื้อสัตว์เท่านั้น
เพราะตกหลุมพรางการโฆษณาชวนเชื่อ
ของกลุ่มผู้มีอาชีพทำมาค้าขายสิ่งมีชีวิต
จนเกิดอาการเสพติดเลือดเนื้อของสัตว์

ทั้งๆที่ช้างม้าวัวควายแต่ละตัว
เป็นสัตว์ที่มีร่างกายกำยำล่ำสันบึกบึน
ซึ่งมีมวลรวมของเซลอวัยวะร่างกาย
ที่ต้องการสารอาหารโปรตีนเข้าไปเลี้ยงบำรุง
เป็นปริมาณสูงกว่าความต้องการของมนุษย์
มากมายหลายเท่านัก

แต่สัตว์ใหญ่เหล่านี้
ไม่มีตัวใดกินพวกเดียวกันเองเลย
คงกินแต่หญ้า ผลไม้และยอดไม้ใบไม้เท่านั้
สัตว์ทุกตัวยังคงแข็งแรงมีอายุยืนยาว
สามารถออกแรงช่วยแบ่งภาระหนัก
ให้กับมนุษย์ได้อย่างสบายๆ
ขณะที่มนุษย์วันๆหนึ่งกินเนื้อสัตว์มากมาย
แต่กลับไม่แข็งแรงเท่าแถมขี้โรคอีกด้วย

ซึ่งความจริงที่จริงแท้เหล่านี้
มนุษย์ส่วนใหญ่พากันมองข้าม
เพราะถูกครอบงำด้วยแรงโฆษณา
ทั้งยังเชื่อติดต่อกันมายาวนาน
จนยากแก่การสร้างสติทางวิญญาณให้ฉุกคิด

นอกจากนั้นมนุษย์ส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่า
ในพืชผักผลไม้ไม่มีสารอาหารโปรตีน
ทั้งๆที่พระบิดาพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ได้กำหนดให้พืชผักสีเขียวหลายชนิด
อุดมด้วยสารโปรตีนที่ร่างกายต้องการ
ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้เพราะไม่มีใครพูดถึง
บางคนก็รู้แต่ไม่ใสใจจะทานกัน
เพราะติดใจเนื้อสัตว์มากกว่ารสชาติผักหญ้า

พืชผักต่อไปนี้มีสารโปรตีนปริมาณสูง
ทานเป็นประจำวนเวียนกันไป
ร่างกายแข็งแรง ไม่ขี้โรค และอายุยืน
ไม่ต้องทานเนื้อสัตว์เลยก็ได้
จะฉลาด สมองดี ประหยัดทรัพย์อีกด้วย

1).ผักโขม มีสารโปรตีน 50%
2).ผักคะน้า มีสารโปรตีน 46%
3).บร็อคโคลี่ มีสารโปรตีน 45%
4).ดอกกะหล่ำ มีสารโปรตีน 42%
5).เห็ดต่างๆ มีสารโปรตีน 40%

6).แตงกวา/พริกหยวก/กะหล่ำปลีสีม่วง
มะเขือเทศ มีสารโปรตีน 20-24%

7).ถั่วงอก/ต้นอ่อนของเมล็ดธัญพืช
และเมล็ดถั่วชนิดต่างๆ
มีสารโปรตีนเฉลี่ย 60% ขึ้นไป

2.การดื้อรั้นไม่ยอมตามใจพวกเขา
เท่ากับว่าเราเป็นฝ่ายสร้างเงื่อนไขด้านลบ
จะเกิดโทษมากกว่าเกิดประโยชน์
เพราะท่านจะคิดนิพพาน
ดุจดั่งการไปสวรรค์คนเดียวคงไม่ได้

เมื่อชวนทะเลาะเบาะแว้งกันก็เป็นบาป
ท่านจึงมีอยู่สองทางเลือกก็คือ
แนะนำให้เขารู้ว่ามีพืชผักอยู่ 7 ชนิด
ซึ่งอุดมด้วยโปรตีนที่ร่างกายต้องการ
ท่านจะขอทานแทนเนื้อสัตว์ได้มั้ย?

ถ้าพวกเขายอมไม่ได้
พระบิดาทรงอนุญาตให้ท่าน
เลือกใช้วิธีที่สองก็คือท่านยอมเสียเอง
โดยให้รับประทานอาหารเป็นเนื้อสัตว์
ตามความผิดบาปของพวกเขาได้
โดยมีเงื่อนไขว่า...

1).ท่านต้องไม่มีส่วนร่วมสั่งอาหาร
อันประกอบด้วยเลือดเนื้อสัตว์นั้นๆ
ทั้งโดยตรงโดยอ้อมโดยเด็ดขา

2).ทานด้วยความมีสำนึกในผิดบาป
โดยสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
ด้วยการขอโมฆะกรรมต่อพระบิด
อย่าได้เกิดเป็นเวรกรรมต่อพี่ๆน้องๆเลย
ขอพระองค์ทรงโปรดละเว้นโทษให้ท่าน

3).อุทิศส่วนบุญกุศลที่ท่านกระทำดี
แบ่งปันให้แก่พี่ๆน้องๆที่ถูกเบียดเบียน
ในทุกครั้งที่ท่านกระทำดีนั้นอยู่เนืองๆ
เพื่อใช้พลังรักช่วยลดทอนพลังลบ
จากจิตที่เจ็บปวดเจ็บแค้นของพวกเขา
ให้บรรเทาทุกข์ผ่อนคลายลงไป

3.ท่านถามเราว่า
ถ้าไม่ยอมทานเนื้อสัตว์ตามเขา
จะทำให้เขาโกรธจนเสียสมดุลไ
จะเป็นการสร้างกรรมใหม่เพิ่มอีกหรือไม่

คำตอบเดียวคือ
เป็นการสร้างกรรมใหม่เพิ่มขึ้นแน่ๆ
สองทางเลือกที่เราแนะนำไว้ข้างต้น
ให้ท่านเลือกนำไปใช้ปฏิบัติดูเถิด
ในยุคที่โลกเสรีนี้ยังมีผู้คนมากมาย
ที่เต็มไปด้วยความโง่ ความงมงาย
และดุร้ายจากการใช้อำนาจเหนือนี้
มันมีทางออกเหลือเพียงเท่านี้เอง

4.ท่านถามเราว่า
การโกหกว่าทานทั้งที่มิได้ทาน
จะเป็นการผิดบาปใช่หรือไม่

คำตอบคือ
เป็นการผิดบาปอย่างที่ท่านสำนึกจริงๆ
เพราะการพูดออกมาไม่ตรงกับที่รู้อยู่
การกล่าวออกมาไม่ตรงกับที่คิดอยู่
การพูดในสิ่งที่ตนรู้ไม่จริ
มันล้วนเป็นความผิดบาปอย่างยิ่ง

บาปตรงที่ทำให้คนอื่นรู้ผิดเข้าใจผิด
บาปตรงที่จิตหยาบ
หลอกจิตวิญญาณของตนเอง

เราจะขอกล่าวความจริงให้รู้ว่า
ท่านทั้งหลายสามารถกล่าวไม่จริงได้
เพียงแค่กรณีเดียวเท่านั้นในการเป็นมนุษย์
นั่นคือกล่าวไม่จริงเพื่อรักษาชีวิตตนเองไว้
แต่มิใช่กล่าวไม่จริงเพื่อ "เอาตัวรอด"

เนื่องจาก "การเอาตัวรอด"
กับ "การเอาชีวิตรอด" มันไม่เหมือนกัน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
1-8-2017

จริงหรือไม่ ผู้ที่ยังกินเนื้อสัตว์ ก็สามารถนิพพานได้




ตอบคำถาม
************
K.Nuchanart Mingkwan

#Question:
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ค่ะ

1.จริงหรือไม่
สำหรับผู้ที่ยังกินเนื้อสัตว์
ก็สามารถนิพพานได้

2.การเข้าถึงซึ่งนิพพานนั้น
มีการจำกัดความ
หรือจำแนกออกไปหรือไม่คะว่า
ต้องเป็นแต่เพียงผู้ไม่กินเนื้อสัตว์

#Answer:
1.การกินเลือดเนื้อของสัตว์นั้น
แม้จะมิได้เป็นผู้ฆ่าด้วยตนเองก็ตาม
แต่ก็มีส่วนเป็นเหตุให้สัตว์นั้นๆถูกฆ่า
จนหมดโอกาสทำหน้าที่ที่ต้องทำ
ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่อีก

เท่ากับว่าคนๆนั้นได้ทำตนเป็นอุปสรรค
ในการดำเนินชีวิตอย่างสุขสงบของผู้อื่น
หรือเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น
ที่เราเรียกว่า #ก้าวล่วง ผู้อื่นนั่นเอง

เท่ากับว่าคนๆนั้น #ตัดรอน อายุขัยผู้อื่น
จึงมีหน้าที่ต้องนำอายุขัยของตนเอง
ไปเติมเต็มอายุขัยในส่วนที่ขาด
ของประดาสัตว์ผู้ยากเหล่านั้นอยู่
ซึ่งพวกท่านเรียกกันว่า #ชดใช้ กระมัง

2.เครื่องยนต์แห่งกรรมของมนุษย์
มิได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบริโภค
เลือดเนื้อของสัตว์มีชีวิตเป็นอาหาร
ทั้งฟันทั้งปากทั้งเซลอวัยวะร่างกาย
เหมาะกับอาหารจำพวกพืชผักผลไม้
และเมล็ดธัญพืชหลากชนิดหลากสีสัน
เพื่อการหล่อเลี้ยงบำรุงและยังชีพ

การรับประทานเลือดเนื้อของสัตว์
เป็นการเติมวัตถุดิบที่ไม่ถูกต้อง
ให้แก่เครื่องยนต์แห่งกรรมของมนุษย์
จึงทำให้เกิดอาการสะดุดชำรุ
จนเจ็บไข้ได้ป่วยและอายุสั้นกว่าที่กำหนด
ยังผลให้มนุษย์นั้นมิอาจทำหน้าที่ที่ต้องทำ
ให้บรรลุผลทั้งทางโลกและจิตวิญญาณ
ในภพชาตินั้นๆได้ตามที่ควรจะเป็น

สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นปัญหาตามมาก็คือ
มนุษย์ยังต้องการโอกาสที่จะมีภพชาติใหม่
เพื่อย้อนกลับมา #ทำหน้าที่ที่ตนค้างคาอยู่
ให้สำเร็จลุล่วงจนจบสิ้นในชาติต่อไป
ถ้ายังไม่ลุล่วงอีกก็จะต้องเวียนว่ายอยู่ต่อไป

3.การรับประทานเลือดเนื้อของสัตว์
เป็นการกระทำผิดสัจจะต่อพระบิดา
ผู้ทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณพวกท่าน
ได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย

เพราะพวกท่านเคยให้สัจจะต่อพระองค์ไว้
ในพันธะสัญญา 6 ประการโดย 1 ใน 6 ก็คือ
ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้แล้ว
พวกท่าน #จะไม่เบียดเบียนกันเอง

ดังนั้น
การกินเลือดเนื้อของสัตว์
จนมีส่วนเป็นเหตุให้สัตว์ถูกฆ่าทารุณกรรม
จึงเป็นการกระทำผิดสัจจะต่อพระผู้เป็นเจ้า
เป็นการกระทำผิดบาปอย่างไร้จิตสามนึก
เท่ากับว่า #ล้มเหลวต่อการเป็นมนุษย์
อย่างสิ้นเชิง

4.ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้ามนุษย์ตนใดยังบกพร่องเหลวไหล
ในพฤติกรรมเหล่านี้อยู่ คือ

4.1 ยังก้าวล่วงผู้อื่นอยู่
4.2 มีเหตุต้องชดใช้กรรมตามกฎแห่งกรรมอยู่
4.3 มีหน้าที่ต้องทำค้างคาอยู่
4.4 ยังล้มเหลวต่อการเป็นมนุษย์อยู่

เพียงแค่ผิดบาปในการกินเลือดเนื้อสัตว์
แต่เพียงอย่างเดียว
ท่านจะเห็นได้ว่าจิตวิญญาณมนุษย์คนนั้น
เมื่อตายไปในภพชาตินี้
ก็ผ่านประตูนิพพานตรงด่านนภาลัย
ออกไปภายนอกหรือ "หลุดพ้น" ไม่ได้แล้ว

5.กรณีที่ท่านถามเราว่า
การเข้าถึงซึ่งนิพพานนั้น
มีการจำกัดความ
หรือจำแนกออกไปหรือไม่คะว่า
ต้องเป็นแต่เพียงผู้ไม่กินเนื้อสัตว์

ท่านอ่านคำตอบเราทั้ง 4 ข้อข้างต้น
ท่านก็ตอบคำถามในข้อ 5 นี้ได้เองแล้วว่า
ถ้าปรารถนานิพพานในชาตินี้
คุณสมบัติหนึ่งที่มนุษย์พึงต้องมี
ไม่มีไม่ได้.......ก็คือ
#ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง
#ไม่ก้าวล่วงสรรพสัตว์ทั้งหลาย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31-07-2017

Meta-physics จิตใต้สำนึก #อภิปรัชญา-10




พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หลายคนไปเรียนวิชชาสั่งจิตใต้สำนึก
หลักสูตร NLP ตามสไตล์ฝรั่งมา
ฝรั่งบอกว่า #จิตใต้สำนึก สั่งได้
เพื่อให้ท่านได้รับในสิ่งที่ต้องการ
โดยไม่ได้บอกว่าเมื่อสั่งไปแล้ว
จิตใต้สำนึกจะนำสิ่งที่ต้องการมาให้
ได้อย่างไรและด้วยวิธีใด
ส่วนใหญ่คนที่ฝักใฝ่ NLP
เขาจะมีสิ่งสูงสุดที่ต้องการคล้ายๆกัน
คือ ต้องการมีงานทำที่มั่นคง
ต้องการร่ำรวยมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง
ต้องการความมีเกียรติยศชื่อเสียง
ต้องการความสำเร็จในธุรกิจที่ทำอยู่
พวกเขาถูกสอนให้สั่งจิตใต้สำนึก
ให้ช่วยใช้พลังลี้ลับขับเคลื่อนสิ่งต้องการ
เพื่อให้น้อมนำสิ่งนั้นมาสู่ชีวิตตนเอง
คล้ายกับที่ .Muknapa Wiangkaew
ถามเรามาว่าดังนี้
1.เธอบอกว่า....
เธอจะเขียนเป้าหมายในชีวิตของเธอ
แยกเป็นข้อๆ คือ #จะมีงานที่มั่นคง
และ #จะมีรายได้ตามต้องการ
2.เมื่อเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เธอก็จะ "บอก" กับตัวเองว่า
#เธอได้ทำทั้งสองข้อ
#ที่เขียนไว้นั้นสำเร็จแล้ว
3.จากนั้นเธอก็ค่อยลงมือกระทำ
ด้วยการแสวงหางานการที่มั่นคง
กับรายได้ที่งดงามตามที่เธอต้องการ
4.เธอถามเราว่า...
คิดแบบนี้...ทำแบบนี้
ถูกต้องหรือไม่?
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ปฏิบัติการทั้ง 3 ขั้นตอนที่เธอเล่ามานั้น
เป็นการใช้จิตสามนึกสั่งจิตใต้สำนึก
ด้วยภาษา NLP หรือภาษาจิตที่ไร้พลัง
แถมยังปฏิบัติไม่ถูกต้องอีกด้วย
ไม่น่าสงสัยหรอกว่า
ไปอบรมกันมาแล้วลงทุนไปก็ตั้งเยอะ
ทำไมเมื่อนำมาใช้ในชีวิตจริง
จึงได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง
เราจะกล่าวพอสังเขปให้รู้ว่า
เพียงแค่ขั้นตอนแรกของท่าน
ในการสั่นสะเทือนจิตสามนึก
เพื่อบอกความต้องการต่อจิตใต้สำนึก
ที่ฝรั่งเรียกว่าภาษา NLP นั้น
มันก็เป็นการสื่อสารที่ไม่ถูกต้องแล้วล่ะ
เพราะจิตใต้สำนึกไม่เข้าใจว่า
"งานที่มั่นคง" ที่ท่านต้องการคืออะไร
"รายได้มากมาย" ที่ท่านต้องการคืออะไร
พอจิตใต้สำนึกไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่
พลังอำนาจทางจิตจึงถูกใช้ให้ทอดแห
ในแบบสะเปะสะปะเพราะขาดเป้าหมาย
มันจึงทำให้ตะเกียบข้างของจิตวิญญาณ
กลายเป็นตะเกียบที่อ่อนปวกเปียก
จนทำงานร่วมกับตะเกียบอีกข้างไม่ได้
มาถึงขั้นตอนที่สองของท่าน
ตามที่ฝรั่งสอนสั่งพวกท่านมาว่า
เมื่อเขียนความต้องการเสร็จแล้ว
ก็ให้ "บอก" กับตัวเองไปเลยว่า
#เธอได้ทำทั้งสองข้อนั้นสำเร็จแล้ว
โดยต้อง Build อารมณ์รู้สึกให้เสมือนจริง
อย่างเต็มสามารถให้จงได้
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
การ "บอก" กับตนเองว่า
ท่านได้ทำสิ่งที่ต้องการนั้นสำเร็จแล้วนี้
เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงนัก
เพราะเหตุว่า....
1.เป็นการหลอกลวงจิตวิญญาณตนเอง
ให้เชื่อว่า "ทำสำเร็จ" เรียบร้อยแล้ว
ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
จึงถือว่า #หลอก มิใช่ #บอก ความต้องการ
อย่างนี้ถือเป็นการกล่าวเท็จซึ่งผิดบาป
เพราะกล่าวมุสาได้แม้กระทั่งตนเอง
พฤติกรรมเยี่ยงนี้มีแต่จะสร้างวิบากกรรม
ที่จิตหยาบกระทำต่อจิตวิญญาณตนเอง
ให้ต้องมีภพชาติใหม่เพื่อกลับมาแก้ไข
ไม่รู้จักสิ้นสุดยุติเลยทีเดียว
2.การหลอกจิตใต้สำนึกว่า (หลอกง่าย)
ตนเองได้ทำสิ่งที่ต้องการนั้นๆสำเร็จแล้ว
เพื่อหวังใช้ความลิงโลดใจของจิตหยาบ
ช่วยสั่นสะเทือนทางจิตวิญญาณ
ผ่านการสั่นสะเทือนของจิตใต้สำนึกนั้น
แม้มันจะสั่นสะเทือนแก่นแท้ได้จริงๆ
แต่ท่านจักต้องรู้ว่ามันจะไม่ได้ผลหรอก
เพราะจิตวิญญาณรับรู้ว่า #มันสำเร็จแล้ว
เมื่อทำสำเร็จแล้วก็ไม่ต้องดิ้นรนอะไรอีก
มาถึงขั้นตอนที่สาม
ท่านบอกว่าเมื่อทำทุกอย่างทางจิตแล้ว
ก็หันมาทำทางด้านกายภาพต่อไป
คือ การออกแสวงหางานที่มั่นคง
กับหารายได้ที่งดงาม
ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว
ความสำเร็จในมิติโลกของจิตหยาบ
ยังมีสิ่งต้องคิดพิจารณาอีกว่า
1.ท่านมีวิธีค้นหางานที่มั่นคงนั้นอย่างไร
2.งานที่มั่นคงที่ต้องการมันอยู่ที่ไหน
3.งานที่มั่นคงนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
4.นิยามของคำว่า "งานมั่นคง" คืออะไร
5.รายได้มากมายที่ต้องการจะมาจากงาน
ประเภทไหน เป็นต้น
ความพร้อมของตะเกียบข้างของจิตหยาบ
ที่จะต้องนำมาใช้คู่กับข้างของจิตวิญญาณ
มันก็จะต้องมีคุณภาพด้วยเช่นกัน
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
ภาษาจิตประสาทที่ฝรั่งเรียก NLP นั้น
มันเกิดขึ้นระหว่างจิตหยาบกับแก่นแท้
เพื่อสื่อสารกันเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว
จะไปแทรกแซงกระบวนการกันทำไม
ผู้คนตั้งแต่โบราณก็ไม่มีใครไปจุ้นจ้าน
หน้าที่ของท่าน
ที่ต้องการผลสำเร็จใดๆในชีวิตคือ
1.รู้ความต้องการของตนเอง
2.ค้นหาวิธีที่จะเข้าถึงความต้องการนั้น
3.ลงมือทำไปตามวิธีการที่คิดไว้
4.มีวินัยในการลงมือทำ
5.ทำด้วยแรงบันดาลใจในทุกขั้นตอน
อย่าทำเพราะถูกจูงใจ
6.มีความสุขและสนุกกับสิ่งที่ทำ
คุณสมบัติเพียง 6 ข้อเหล่านี้
ไม่มีเงินไปอบรมหลักสูตร NLP
จิตใต้สำนึกของน้องพี่ก็จะมีพลังมหาศาล
จะเป็นตะเกียบอีกข้างหนึ่งที่พึ่งได้
เพราะจิตใต้สำนึกเข้าใจความต้องการ
ในทุกขั้นตอนของท่านอย่างชัดเจน
เขาจะรีบรุดไปเหนี่ยวรั้งสิ่งที่ต้องการ
เข้ามาสู่ชีวิตท่านอย่างง่ายดาย
นี่ไง....
บริบทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
คือทำทุกสิ่งด้วยจิตสามนึก
เพื่อผนึกกำลังกับจิตวิญญาณ
ด้วยคุณสมบัติ 6 ประการข้างต้นนั้น
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
1-08-2017