วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิธีดับความโกรธ ด้วย มหาสติ ในธรรมชาติสมาธิ



ท่านรู้หรือไม่ว่า.....
ถ้าคนใกล้ชิดตัวท่านกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่าน
ปกติแล้วท่านมักจะเสียสมดุลไปในทาง
หงุดหงิด ขึ้ง เคียด เกลียด โกรธ นั่นล่ะ
ทำอย่างไรท่านจึงจะไม่โกรธ
ทำอย่างไรท่านจึงจะดับโกรธที่เกิดขึ้นนั้นได้
ทำอย่างไรท่านจึงจะคืนความสมดุล
ทางจิตใจให้ตนเองได้ภายในสามนาที
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำตอบแรกก็คือ....
มหาสติไงล่ะ
ท่านฝึกฝนตนเองจนสามารถครองมหาสติได้รึยัง
ถ้าท่านยังครองมหาสติไม่ได้
สามคำถามที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
ท่านจะมิอาจเข้าถึงคำตอบที่ต้องการได้หรอก
แต่ถ้าท่านสามารถเข้าถึงการครองมหาสติ
อันเป็นธรรมชาติสมาธิในชีวิตประจำวันได้แล้ว
กล่าวคือ รู้สติ มีสติ และใช้สติตลอดทั้งวันเวลา
คำตอบที่สองถัดมา คือ
การหยิบปัญญามานิพพานอารมณ์โกรธนั้นให้สิ้น
จึงจะเป็นจริงได้
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ขณะมีมหาสติอยู่นั้น.....
ขอให้ท่านจงระลึกถึงความจริงในธรรมชาติดูว่า
1.เวลากลางวันขณะแดดร้อนเปรี้ยงๆอยู่
หากท่านกำลังออกจากบ้านเดินทางไปทำธุระ
ในท่ามกลางเปลวแดดแผดจ้าอยู่นั้น
ท่านเคยจัดการอย่างไรในสถานการณ์เช่นว่านี้บ้าง
คำตอบคือ....
1.1 อดทนต่อความร้อนของเปลวแดดนั้น ใช่มั้ย?
1.2 หาร่มมากางบังแดดให้ตนเอง ใช่มั้ย?
1.3 เดินเลี่ยงหลบเข้ากำบังเงาในร่มเงา ร่มไม้ ชายคา
ที่มีอยู่ตามทางเดินนั้น ใช่มั้ย?
2.ให้ท่านถามตนเองต่อไปด้วยว่า...
ทำไมท่านจึงไม่สั่งให้ดวงอาทิตย์หยุดแผ่ความร้อน
ทำไมท่านจึงไม่คิดจะแช่งด่าดวงอาทิตย์
ทำไมท่านจึงไม่หาเรื่องชวนทะเลาะกับดวงอาทิตย์
ทำไมท่านจึงไม่กล่าวร้ายให้โทษดวงอาทิตย์
คำตอบก็คือ....
ท่านไม่สั่งดวงอาทิตย์ให้หยุดแผ่รังสีความร้อน
เพราะรู้ดีว่าตัวท่านเองไม่มีอำนาจมากพอ
เพราะท่านรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้
ท่านไม่คิดจะแช่งด่าดวงอาทิตย์
เพราะรู้ดีว่ามันเป็นคุณสมบัติของดวงอาทิตย์
ที่ต้องร้อนแรงอย่างนั้นเอง...
เพราะท่านรู้ดีว่าไม่มีใครห้ามดวงอาทิตย์
มิให้เปล่งความร้อนแรงได้
มันต้องเป็นของมันเช่นนั้นเอง
ท่านไม่ชวนทะเลาะกับดวงอาทิตย์
เพราะท่านรู้ดีว่าแช่งด่าว่าไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ดวงอาทิตย์ก็จะเงียบแล้วแผ่ความร้อนออกมาดังเดิม
เพราะเป็นคุณสมบัติของดวงอาทิตย์ดังกล่าวแล้ว
ท่านไม่กล่าวร้ายให้โทษดวงอาทิตย์
เพราะท่านรู้ดีว่าดวงอาทิตย์มีประโยชน์ต่อทุกชีวิต
ทั้งความร้อนแรงก็มีประโยชน์
ทั้งแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็มีประโยชน์
ด้านที่เป็นประโยชน์มีมากกว่าด้านที่เป็นโทษ
ด้านที่ท่านชอบมีมากกว่าด้านที่ท่านไม่ชอบ
3.ดังนั้น....
จากแนวคิดทั้งหมดทั้งสามข้อที่กล่าวมา
มันคงจะทำให้ได้เกิดดวงตาเห็นธรรมว่า
คนที่เขาทำไม่ดีต่อท่าน
คนที่ท่านไม่พอใจ
คนที่ท่านเห็นว่าไม่น่ารักนั้น
พวกเขาก็มิต่างกันกับ
ความร้อนแรงของแสงแดดเลย
คนที่เขาไม่ดี
เขาจะแสดงพฤติกรรมดีๆกับท่าน
ในกรณีนั้นๆได้อย่างไร
เพราะมันเป็นคุณสมบัติของเขา
ถ้าท่านยอมรับความไม่ดีของเขาเสียได้
การชวนคนไม่ดีนั้นทะเลาะมันก็จะไม่เกิดขึ้น
เพราะถึงทะเลาะกันด่าว่ากันสาปแช่งกัน
ท่านก็ไม่มีวันเปลี่ยนนิสัยแก้ไขสันดานไม่ดี
ของคนชั่วคนนั้นได้...ใช่หรือไม่ล่ะ?
ความชั่วของคนๆนั้น
มันยังมีประโยชน์ต่อท่านอีกด้วยนะ
เพราะทำให้ท่านได้เรียนรู้ว่า
ความชั่วในแนวๆนั้นมันเป็นอย่างไร
มิหนำซ้ำท่านยังตรวจสอบตัวเองได้ด้วยว่า
ท่านชั่วเหมือนคนๆนั้นด้วยมั้ย?
ท่านมีนิสัยสันดานเหมือนเขาคนนั้นบ้างหรือเปล่า
นี่แสดงว่า...ความชั่วของเขา
มันช่วยให้ท่านสามารถประเมินตนเองได้
ถ้าพบว่าตัวเองชั่วแบบเขา
ท่านก็จะได้แก้ไขตนเองเสียทันที
จะได้เป็นคนที่ดีกว่า...ตามต้องการ
แสดงว่าความชั่วของเขาก็มีประโยชน์ต่อท่าน
มากกว่าจะมีโทษ
เช่นเดียวกับความร้อนของแดด
มีคุณมากกว่าโทษนั่นล่ะนะ
ใช่หรือไม่ล่ะท่านทั้งหลาย...
วิธีดับโกรธ...ลดอารมณ์ขยะ
สร้างสภาวะจิตให้สมดุลภายในสามนาที
มันต้องมีมหาสตินำหน้า
แล้วใช้ปัญญาตามหลัง
ทำบ่อยๆนานวันเข้า.....
จิตฝ่ายต่ำมันจะสลายตัวหายไปเอง
นิพพานโกรธได้ล่ะท่าน...
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-03-2015

เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล

1.เสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน


















วิถีจิตจักรวาล สื่อสอนเรื่องอะไร




พี่ๆน้องๆแห่งโลกเสรีทั้งหลาย
ท่านรู้หรือไม่ว่า
วิถีจิตจักรวาลนี้สื่อสอนเรื่องอะไร

เรื่องหลักๆที่สำคัญมี 6 ประการ คือ

1.ให้เราแนะนำท่านทั้งหลาย
เร่งทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
มิเช่นนั้นแก่นแท้ของท่าน
จะควานหาเส้นทางสู่การหลุดพ้น
ผ่านทางประตูมิติ คือ "ด่านนภาลัย"
ออกไปนอกระบบเอกภพ
เพื่อกราบพระบาทพระบิดามิได้

แม้ท่านจะสั่งสมคุณสมบัติแห่งนิพพาน
ในด้านอื่นๆจนครบถ้วนได้แล้วก็ตาม

2.ให้เราเปิดเผยพันธะสัญญา 6
ที่พวกท่านทั้งหลายได้เคยให้สัจจะ
เป็นพันธะสัญญาไว้กับองค์จิตจักรวาล
ตั้งแต่ก่อนข้ามมิติเข้ามา
สู่การเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรี
ในภพชาติแรกซึ่งท่านทั้งหลาย
ได้ลืมมันไปจนหมดสิ้นแล้ว
ให้เราทวงคืนความทรงจำของพวกท่าน
แล้วให้ท่านใช้เวลาที่เหลืออยู่ก่อนปิดยุค
เร่งปฏิบัติตามพันธะสัญญานั้น
เพื่อเป็นการไถ่บาปที่ละเลยเหลวไหล
จนจดจำสัจจะที่ให้ไว้ต่อพระองค์ไม่ได้เสียทันที
จะได้ไม่เสียทีที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

3.ให้เราเน้นย้ำท่านให้รู้จักการพึ่งพาตนเอง
เพราะท่านทั้งหลายล้วนมีพลังอำนาจอยู่ข้างใน
ท่านจึงต้องค้นคว้าควานหามันให้พบ
แล้วจงนำมันออกมาใช้ให้เป็น

พลังอำนาจที่ท่านจะต้องพึ่งพาตนเองให้จงได้
ประกอบด้วยพลังใน 3 ด้าน คือ

1.พลังอำนาจทางจิต คือ ความรัก
2.พลังอำนาจทางสมอง คือ ปัญญา
3.พลังอำนาจทางกายภาพ คือ แรงกาย

4.ให้เตือนท่านว่า "อย่าเดินถ่างขา"
โดยอย่าไปจำเอาวิธีการของนักบวช
มาปฏิบัติในบทบาทของฆราวาส
จนสร้างความสับสนให้ตนเองกันมายาวนาน
ถึงขั้นเกิดมานานก็ยังมีอาจหลุดพ้นออกไปได้

เนื่องจากนักบวชปลีกวิเวก
จึงถนัดเข้าถึงแสงสว่างทางปัญญา
ด้วยการฝึกฝนตนเองให้อยู่ในกรรมฐาน
เราจึงเรียกขานพวกเขาว่า
"นักรบแห่งแสงสว่าง"

ขณะที่พวกท่านเลือกเส้นทางฆราวาส
คือ "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง"

จึงถนัดที่จะเข้าถึงแสงสว่างทางปัญญา
ด้วยการเผชิญหน้ากับเงื่อนไขบวกลบทั้งหลาย
ซึ่งผู้อื่นรอบๆตัวท่านพากันหยิบยื่นมาให้

เพื่อให้ท่านได้ลับคมปัญญาจากปัญหาชีวิตนั่น
ด้วยการกระทำผ่านธรรมชาติสมาธิหรือมหาสติ
กับปณิธานแห่งนิพพานในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง
ซึ่งทั้งเรียบง่าย...สบายๆ....ไม่ฝืนธรรมชาติอีกด้วย

5.ให้รู้วิธีนำพาแก่นแท้ของท่านเองกลับบ้าน
บนเส้นทางสายวิมุตตินี่แหละ
ซึ่งในที่นี้ได้แนะนำท่านทั้งหลายให้เรียนรู้
เคล็ดลับพิเศษที่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้

นั่นคือ.......
ต้องทำสามเหลี่ยมกับองค์จิตจักรวาลไว้เท่านั้น
ท่านจึงจะนิพพานกับเขาได้

6.ให้แจ้งข่าวสารการชำระโลก
อันเป็นปฏิบัติการของประดาช่างเท็คนิกจากนอกระบบ
ที่เข้ามาโลดแล่นอยู่ในระบบโลก
เพื่อปรับสมดุลและเพิ่มพลังอำนาจให้ระบบโลก
แบบเฉียบพลัน....
ในยามที่โลกกำลังป่วยหนัก
เพราะเสียสมดุลทั้งด้านกายภาพและพลังงาน
รุนแรงขึ้นทุกวันๆ

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
19-03-2015