วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า




พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
********************************
พระจิต ก็คือ รูปธรรมทางพลังงาน
ที่มีความสมดุลอยู่ในตนเอง
โดยมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 6 เหลี่ยมมุม
อันเกิดจากสามเหลี่ยมด้านเท่าสองรูปขนาดเท่ากัน
วางซ้อนทับกันอยู่ภายในวงกลมวงเดียวกัน
โดยมุมทั้งสามไม่ซ้อนทับกันเลย
ซึ่งจะมีการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้มุมทั้งหกซ้อนทับกันจนเป็นหนึ่งเดียว

ดวงจิตธรรมญาณที่เร้นอยู่ในรูปธรรมมนุษย์
จะมีพิกัดที่ตั้งอยู่ตรงต่อมพิทูอิทารีหรือต่อมใต้สมอง
แต่จะเคลื่อนที่ไปทั่วทุกเซลอวัยวะร่างกาย
อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

พระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณที่ว่านี้
คือผู้อาสาพระบิดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์
ด้วยการเข้ามาปฏิสนธิกับกายหยาบ
ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยโลหิตในครรภ์ของมารดา
เพื่อการเจริญเติบโตสู่การเป็นมนุษย์ต่อไป

ในขณะที่กำลังเจริญวัยเป็นทารกอยู่นั้น
พระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณนั้นๆ
ก็จะแบ่งภาคพลังงานของตัวเอง
ออกมาเป็น "จิตหยาบ"
เพื่อมอบหมายให้จิตหยาบ
แสดงบทบาทของการเป็นคนสองมิติแทนตนเอง
ขณะดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นๆ

เมื่อพระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณ
เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้าหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ดังนั้นจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ซึ่งถูกแบ่งภาคออกมาจากจิตวิญญาณ
ก็ย่อมมาจากพระเจ้า
หรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงสามารถที่จะกล่าวไว้โดยสรุปว่า
ทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณ
ต่างล้วนจึงเสมือนหนึ่งเป็นพระเจ้า
ที่สถิตย์อยู่ภายในรูปธรรมมนุษย์โดยแท้

ในขณะที่เป็นมนุษย์นั้น
จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ซึ่งเป็นเสมอดั่งพระเจ้า
จะสามารถสั่นสะเทือนตนเองได้ถึง 7 ความถี่
เราจึงเรียกคลื่นพลังงานทั้ง 7 ย่านความถี่นี้ว่า
"พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า"

พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
จะประกอบด้วยอาการของจิต 7 อย่างดังนี้ คือ

1.พระวิญญาณแห่งการรู้สึก
(คลื่นการรู้สึก)
2.พระวิญญาณแห่งอารมณ์ต่างๆ
(คลื่นอารมณ์)
3.พระวิญญาณแห่งการนึก
(คลื่นการนึก)
4.พระวิญญาณแห่งการคิด
(คลื่นการคิด)
5.พระวิญญาณแห่งการจดจำเรื่องราวและอารมณ์
(คลื่นการบันทึกและการจดจำไว้)
6.พระวิญญาณแห่งการแสดงออก
หรือการกระทำทางอวัยวะร่างกาย
(คลื่นแห่งการกระทำ)
7.พระวิญญาณแห่งสัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต
(คลื่นแห่งสัญชาตญาณ)

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกท่านที่เป็นมนุษย์ทุกคน
ต่างล้วนมีพระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า
ที่สั่นสะเทือนอยู่ข้างในจนตลอดชีวิตทั้งสิ้น
โดยท่านจะต้องเข้าให้ถึงที่สุดของความถี่ด้านบวก
ในทุกครั้งที่ั่สั่นสะเทือนจิตหยาบเสมอ

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งการรู้สึก
ก็คือ ความเวทนาสงสาร
ก็คือ ความเมตตา
ก็คือ ความกรุณา
ก็คือ ความมีมุทิตา
ก็คือ ความมีอุเบกขา

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งอารมณ์
ก็คือ ความรักในแบบต่างๆ เช่น
การอดทน
การอดกลั้น
การให้อภัย

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งการคิด
ก็คือ สามารถกดปุ่มใช้ปัญญาญาณ
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนสมองซีกขวา
นำสมองซีกซ้ายของท่านได้

ที่เรากล่าวมาเป็นอาทิเหล่านี้
มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่จะต้องเข้าถึงกันให้ได้
เพื่อยกระดับจิตหยาบให้สั่นสะเทือนด้านบวก
จนเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของท่านเอง
ด้วยการเข้าถึงพระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
ดังได้เปิดเผยมาให้รู้ตั้งแต่ต้นให้จงได้
เพื่อมิให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31-08-2015

กฎแห่งการปฏิสัมพันธ์




การปฏิสัมพันธ์ หมายถึง:
************************
1.การแสดงออกหรือการกระทำใดๆก็ตาม
ที่ท่านและคนอื่นๆปฏิบัติต่อกัน

2.เพื่อยังประโยชน์สุขและความสำเร็จร่วมกัน
ในชีวิตประจำวัน

3.โดยจะเป็นทั้งความสัมพันธ์
แบบเป็นครั้งคราว หรือแบบประจำเป็นกิจวัตรก็ได้

4.ในการปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวนี้
ท่านทั้งหลายจักต้องระลึกให้ได้ว่า
มนุษย์คนอื่นๆที่ท่านสัมพันธ์ด้วยนั้น
แม้เขาจะแสดงออกหรือกระทำต่อตัวท่าน
อย่างไม่สุภาพ ไม่เหมาะควร ไม่เป็นธรรม
แต่เขาก็มิใช่คู่ต่อสู้ของท่าน....
แต่เขาก็มิใช่ศัตรูของท่าน.....

5.แท้จริงแล้ว....พวกเขาทุกคน
ต่างล้วนเป็นผู้ที่จะช่วยท่านให้ประสบผลสำเร็จ
ในการยังประโยชน์สุขของท่านเองต่างหากล่ะ

6.ดังนั้น...
ท่านจึงต้องยึดมั่นเสมอว่า
ถ้าใครแสดงออกหรือกระทำต่อตัวท่าน
ในแบบที่ไม่สุภาพ ไม่เหมาะควร หรือ ไม่เป็นธรรม

ท่านจักต้องใช้
"กฎแห่งการปฏิสัมพันธ์ ของ ปริญญา" ดังนี้ คือ

1).ไม่ต่อสู้
2).ไม่ตอบโต้
3).ไม่ต่อต้าน
4).ไม่หลีกเลี่ยง

ทั้งนี้เพื่อป้องกันความแตกแยกร้าวฉาน
มิให้เสียการใหญ่นั่นเอง

7.โดยให้ท่านปฏิบัติต่อตัวเขาดังนี้ คือ

1).รับรู้แล้ว ไม่รับเอา

2).ป้องกันตนเองไว้
โดยไม่เปิดโอกาสให้เขา
ทำเช่นนั้นได้อีกในครั้งต่อไป

ด้วยรักและปรารถนาดีครับ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-11-2015