วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

พันธสัญญา




อยากให้อาจารย์อธิบายว่าทุกคนมีหน้าที่และบทบาทในการจรรโลงโลกอย่างไร
?...ทุกคนเกิดมาเพื่อแสดงบทละคร... เราเรียกมันว่า ชะตาชีวิต ที่พวกเราเองเป็นผู้ลิขิตก่อนที่จะมาเกิด อย่างถ้าสมมุติ คุณเกิดมาเป็นภรรยาที่ดีของผม นั่นแสดงว่า...คุณเป็นเงื่อนไขที่ทำให้จิตใจของผมมีความสุข ดีใจ ผมรักคุณมากเพราะคุณเป็นเมียที่ดี เช่นกัน...ถ้าผมเป็นสามีที่ดีของคุณ คุณก็รักผม รักมากเพราะสามีเป็นคนดี ความรักความเมตตาที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา จิตใจของเราเวลาสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด กลไกในร่างกายของเราที่พระบิดาสร้างไว้ คือต่อมไร้ท่อทั้งหลาย มันเป็นกลไกที่ใช้ทำงานร่วมกันกับภาคของจิตวิญญาณของตัวเรา เป็นมิติของจิต มันจึงเป็นต่อมที่ไร้ท่อ เพราะมันใช้คลื่นวิทยุคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กสื่อสัญญาณกัน มันเลยไม่ต้องใช้เส้นประสาท ก็มันทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น ขณะที่คุณมีความรัก กลไกต่อมไร้ท่อหลายต่อมในร่างกายคุณ มันจะเกิดการสั่นสะเทือนตื่นตัวขึ้นมาทำงาน แล้วมันสามารถจะไปสร้างคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก เหวี่ยงออกมาภายนอกได้ ที่เราเรียกกันว่า พลังจิต...
แต่ถ้าคุณสั่นสะเทือนความรู้สึกนึกคิดของคุณออกมาเป็นความโลภ โกรธ หลง ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่ากิเลสตัณหาที่ท่านสอนให้ละวาง เพราะถ้าสั่นสะเทือนแบบนี้ มันก็จะไปผลิตคลื่นไฟฟ้าทางแม่เหล็กเหมือนกัน แต่เป็นพลังชนิดที่โลกไม่ต้องการ มันจะเป็นด้านลบ
ในทางพลังงาน โลกต้องการพลังงานด้านบวกจากมนุษย์ จากต้นไม้ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต และจากสัตว์เดียรัจฉานทั้งหลาย พระพุทธเจ้าห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พระพุทธเจ้าสอนให้มนุษย์อยู่กับต้นไม้ ไม่ให้ทำลายป่า ต่าง ๆ เหล่านี้ พระพุทธเจ้าทราบดีว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นเพื่อนร่วมงานกับเรา ที่จะช่วยกันสร้างพลังงานจิตด้านบวกให้กับโลก
...คุณรู้มั้ย โลกเราถ้าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ โลกเราจะหมุนรอบตัวเองไม่ได้ โลกเราจะมีสนามแม่เหล็กห่อหุ้มโลกนี้ไม่ได้ เราจะไม่มีออกซิเจนหายใจ เราจะไม่มีสิ่งดี ๆ หลายสิ่งที่เราดำรงอยู่บนโลกใบนี้ได้ ถ้าโลกนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์ด้วย
...นักวิทยาศาสตร์โลกบอกว่า ใจกลางโลกมีแท่งเหล็กแข็ง ๆ ร้อน ๆ อยู่แท่งหนึ่งข้างใน ถามว่าคุณเชื่อเขาใช่มั้ย เชื่อเขาเพราะอะไร เพราะคิดว่าเขารู้ใช่มั้ย แต่จริง ๆ ก็คือ การเดา นั่นคือการคาดคะเน นั่นคือสมมุติฐาน นักวิทยาศาสตร์โลกจะเชื่อสิ่งใดเขาทำได้สองอย่างคือ ถ้าไม่ใช้ 'เวิร์บทูดู' ก็ 'เวิร์บทูเดา'...
เวิร์บทูดู คือพิสูจน์ดูให้เห็นให้รู้แล้วยืนยัน นอกนั้นตั้งเป็นสมมุติฐานไว้ก่อน ถ้าวันใดค้นพบทฤษฎีใหม่ที่ล้มเลิกของเก่าได้ ก็จะเริ่มเอาใหม่ เช่น สมัยก่อน บอกว่าโลกแบน บอกว่าโลกเราเป็นจุดศูนย์กลางของระบบจักรวาล ดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก พอกาลิเลโอผลิตกล้องโทรทรรศน์ส่องได้ และเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของโลก ที่สัมพันธ์กับดวงอาทิตย์เลยค้นพบว่า ไม่ใช่เลย จริง ๆ แล้ว ดวงอาทิตย์อยู่กับที่ โลกต่างหากที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ กาลิเลโอถูกจับขังคุกเกือบตาย เพราะไปทำลายความเชื่อที่โง่เง่าของคนรุ่นใหญ่ แต่ในที่สุด วันนี้เราก็เชื่อกาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์สมัยก่อนหาว่ากาลิเลโอเป็นเจ้าลัทธิ จะมาสร้างลัทธิใหม่ เหมือนกับที่หลายคนมองอาจารย์ปริญญา หาว่าผมคงจะเป็นแบบเดียวกับกาลิเลโอ หรือ หัวเราะเยาะว่า คงเหมือน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ที่บอกว่าโลกกลม แต่ตอนนี้ถามว่าเราเชื่อใคร เราเชื่อโคลัมบัสที่ว่าโลกกลม มนุษย์เนี่ย ง.งู มาก่อน ฉ .ฉิ่ง แต่ก็ไม่เคยสำนึก เราไปเชื่อนักวิทยาศาสตร์โลก...?
แล้วจริง ๆ ใจกลางโลกของเราเป็นอะไรคะ
?พระบิดาไม่ได้ทรงสร้างแท่งเหล็กแข็ง ๆ ร้อน ๆ ไว้ใจกลางโลกหรอก แต่ทรงสร้างก้อนธาตุออกซิเจนเหลวที่บริสุทธ์ และเข้มข้นร้อยเปอร์เซนต์เอาไว้ในใจกลางโลก ลักษณะของมันก็คือ เหนียวหนืดคล้าย ๆ ตังเม เดิมมันใส เขียวใสสีมรกต เสร็จแล้วมีอานุภาพประจุไฟฟ้าของอะตอมธาตุออกซิเจนเนี่ย จะมีค่าเป็นลบไว้ในใจกลางโลก เพื่อที่จะเอาไว้ทำปฏิกิริยานิวเคลียร์กับประจุไฟฟ้า ที่เกิดจากพลังจิตของมนุษย์ เวลามนุษย์รักกัน ก็จะเหวี่ยงพลังจิตให้กัน 1 เปอร์เซนต์ของพลังจิตที่คุณเหวี่ยงออกไป มันจะแทรกซึมเข้าไปในใจกลางโลกที่คุณเหยียบอยู่ ประจุบวกที่ติดไปกับพลังจิตที่แทรกซึมลงไปใจกลางโลก มันจะไปทำปฏิกิริยานิวเคลียร์กับอนุภาคประจุไฟฟ้าลบของอะตอมธาตุออกซิเจน บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซนต์ ที่พระองค์ติดตั้งไว้ในใจกลางโลก ปฏิกิริยานิวเคลียร์นี้พระบิดาทรงเรียกว่า นิวเคลียร์ ฟิสชั่น ซึ่งจะทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงบริเวณพื้นผิว ผิวนอกของก้อนธาตุออกซิเจน เมื่อมันเกิดการระเบิดขึ้น ก้อนธาตุซึ่งมีคุณสมบัติเหนียวหนืดคล้าย ๆ ตังเม มันก็จะเกิดการบิดตัวขึ้น และโลกเราซึ่งมีพื้นน้ำ 3 ส่วน พื้นดิน 1 ส่วน เพราะถ้าในใจกลางโลก ถ้ารอบ ๆ ด้านมันมีการระเบิดพร้อม ๆ กัน มันก็จะไม่เกิดอะไรขึ้น โลกก็จะหมุนรอบตัวเองไม่ได้ แต่นี่อยู่เป็นที่ ไม่ได้อยู่รอบ ๆ โลก การที่มันระเบิดไม่พร้อมกัน การบิดตัวของมันก็จะเกิดขึ้น พอบิดตัวขึ้นมาปั๊บ มันก็ทำให้โลกหมุนไป โลกเราที่หมุนรอบตัวได้ก็เพราะเหตุนี้...
นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์โลกไม่รู้เพราะไม่เห็น และไม่มีใครคิดตาม ถามว่าทำไมโลกหมุนรอบตัวเองได้ เขาบอกว่าเกิดตั้งแต่ระเบิดใหญ่ 'บิ๊กแบง' แล้วถามว่าโลกเกิดมาเมื่อไหร่ เขาบอกเป็นพันล้าน ๆ ปี ผมถามหน่อยเถอะว่า ลูกข่าง เวลาเราเหวี่ยงไปปั๊บ ตอนเขวี้ยงไปใหม่ ๆ แกนมันจะตั้งแล้วก็หมุน ๆ ไป แต่ถามว่า ลูกข่างทำไมไม่เห็นมันอยู่ได้เป็นล้าน ๆ ปี เดี๋ยวมันก็ล้มเมื่อหมดแรงเหวี่ยง โลกเราที่มันเหวี่ยงไปเรื่อย ๆ เพราะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนโลก เราใส่พลังงานให้มันไปอยู่เรื่อย ๆ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม ศาสดาทุกองค์จึงสอนมนุษย์ให้รักกัน ให้มีเมตตาต่อกัน แล้วพระพุทธเจ้าก็ทิ้งไว้ว่า เมตตาธรรมค้ำจุนโลก โลกอยู่ได้เพราะมนุษย์ทำให้มันหมุน สัตว์ ต้นไม้ ทำให้หมุน เราจึงต้องรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นตัวช่วยเติมเต็มพลังงานความรัก ถามว่าจิตวิญญาณมาเพื่อทำอะไร ก็มาเพื่อเกิดเป็นมนุษย์ และเพื่อมาทำตรงนี้...
โลกเราแม้จะมีคนเลวอยู่เยอะแยะ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อย ๆ ให้มีคนประมาณ 1 - 3 เปอร์เซ็นต์ สำนึกในเรื่องของความรัก โลกเราก็จะยังอยู่ได้ นี่คือความแยบยลที่พระบิดาทรงสร้างไว้ เพราะโลกนี้เป็นโลกเสรี มนุษย์มักจะเลวก่อนที่จะเป็นคนดี เลวตอบกันไปตอบกันมา อย่างที่บอกว่า บางคนสมองง่อยไปบ้าง การใช้สมองซึ่งเป็นกลไกของตัวเรานั้น เราต้องใช้ให้ถูกต้อง เพราะเราเป็นเพื่อนร่วมงานของกันและกัน อย่างคุณโดนเอาเปรียบ คุณโกรธแค้นเขา อย่างนี้เรียกว่าคุณใช้สมองไม่ถูกต้อง คุณก็ต้องมาเกิดใหม่ เพื่อมาเรียนรู้ในการที่จะใช้สมองของตัวเองให้ถูกต้อง อย่างน้อยคือ ต้องเห็นคุณค่าสติปัญญาของตัวเอง เพราะฉะนั้น ชาตินี้เกิดมาสมองพิการ สมองง่อย เป็นอัลไซเมอร์ นั่นคือการสอนให้จิตวิญญาณของตนเองสำนึกรู้ว่า เครื่องยนต์แห่งกรรมในร่างกายของเรานี่มันมีประโยชน์ มีคุณค่า ต้องใช้มันให้เป็นและใช้ให้ถูกต้อง?
กลับมาที่เมืองไทย อาจารย์มองเห็นภาพในอนาคตเปลี่ยนไปอย่างไรคะ
?...อาจารย์บอกว่า ประเทศไทยเรา ด้ามขวานจะหักเป็นสามท่อน ที่ว่าหักคือจมทะเลไปหมดเลย หลายคนก็บอก เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเกิดหรอก เหมือนที่ว่ากรุงเทพเนี่ย ไม่เกิดแผ่นดินไหวหรอก ผมบอกว่าเกิด ! ขนาดเมืองกาญจน์แผ่นดินไหวตั้ง 7 ริกเตอร์ กรุงเทพฯก็เตรียมตัวอันตรายได้แล้ว นี่ผมพูดในฐานะของนักวิทยาศาสตร์ทางจิตนะ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทางโลก ไม่ได้พูดทางวิทยาศาสตร์ทางกายภาพ (อาจารย์จบปริญญาตรี วทบ . ปริญญาโท MBA) ถ้าถามว่าผมรู้ได้อย่างไร ก็พระบิดาบอกผม
ผมยืนอยู่ท่ามกลางสังคมคนกว้างใหญ่ ผมสื่ออะไรต่ออะไรออกไปมากมาย ผมต้องทำตัวเองให้ว่างจากการมีตัวตน ผมต้องไม่หลงตัวเอง ผมต้องไม่ลืมตัว ต้องรู้ว่าผมเป็นใคร ผมต้องรู้ว่าผมทำหน้าที่อะไร เมื่อผมรู้ตัวผมตรงนี้แล้ว ตัวตนในทางโลกที่เป็นมายาผมไม่มี เพราะฉะนั้น ใครจะใช้จิตทำร้ายผม เขาก็ทำร้ายผมไม่ได้เพราะผมไม่มีตัวตน ผมก็ปลอดภัย...?
ทุกวันนี้อาจารย์กำลังจะบอกอะไรคนไทยหรือคะ
?บทบาทหน้าที่ของอาจารย์เกิดมาเพื่อจะเตือนสติทุกคนว่า เราได้รับอนุญาตให้มาเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย ยุคหนึ่ง 6 หมื่นปี จิตวิญญาณหนึ่งต่ออายุ 6 หมื่นปี แต่นี่ปรากฎว่ายุคของจิตวิญญาณของพวกเราใช้เวลากันแล้ว หกหมื่นแปดร้อยปีโดยประมาณ คำว่าหกหมื่นปีแปลว่า ถ้ามาเกิดสักหกหมื่นปีแล้วต้องกลับบ้าน กลับบ้านก็คือนิพพาน ออกไปจากเปลือกไข่สู่อ้อมอกพระบิดาให้ได้ ในแดนนิพพาน อย่างที่พระพุทธเจ้าไป พระเยซูคริสต์ไป ที่องค์นะบีมะหะหมัดไป ถ้าเรายังอยู่ในนี้ก็ต้องผสมพันธุ์กันไป เกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนี้ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน อยู่แต่ในนี้ ตอนนี้เป็นหกหมื่นแปดร้อยปี เพราะพระบิดาเมตตาให้เราพยายามที่จะทำตัวเองหลุดพ้นให้ได้ คือ ทุกคนต้องกลับบ้าน แดนนิพพาน โลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรานะ แต่มนุษย์งมงาย มัวแต่ไปวุ่นวายอยู่กับเรื่องทางโลก ไม่ใส่ใจ ไม่ดูแลจิตวิญญาณของตัวเอง บางคนลืมจิตวิญญาณของตัวเองไปด้วยซ้ำ พอใครพูดถึงเรื่องจิตวิญญาณก็หาว่า หัวโบราณ คร่ำครึ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ยังใช้จิตวิญญาณของตัวเองพูดต่อต้านจิตวิญญาณอยู่ อย่างนี้เขาเรียก ความมีสำนึกทางวิญญาณไม่มีเหลือเลย
การที่จะรู้แจ้งด้วยตัวเองได้นั้น เราต้องฝึกเรียนรู้ ศึกษาธรรมะ ฝึกทำจิตให้ผ่องแผ้ว อย่าให้จิตไปจมลึกตกหล่มอยู่กับกิเลสตัณหา ใช้ปัญญาให้เป็น ถือศีลปฏิบัติธรรมง่าย ๆ ถือศีลง่าย ๆ ก็คือ ไม่ล่วงเกินผู้อื่น ไม่ว่าด้วยกาย วาจา หรือใจก็ตาม ส่วนการปฏิบัติธรรมก็คือ รักให้เป็น รักให้ได้ คำว่ารักก็คือ เมตตา กรุณา มุทิตา ถ้าเป็นรักแบบองค์เยซูคริสต์ก็บอกว่า ต้องอดทนให้เป็น อดกลั้น เพื่อให้อภัยให้ได้แม้กับคนที่เราเห็นว่าไม่สมควรที่เราจะให้อภัย
งานของผมทุกวันนี้แทบไม่มีวันว่างเลย ผมเป็นวิทยากรสอนมนุษย์ คิดทฤษฎีไซโคโชว์เพื่อการถ่ายทอดพฤติกรรม มนุษย์ส่วนใหญ่บอกว่า ถ้าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนมันต้องจูงใจ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าใช้ความอยากขับเคลื่อนพฤติกรรม เพราะนั่นคือ การใช้กิเลสตัณหา ซึ่งจะทำให้เราให้ความรักกับโลกไม่ได้ ค้ำจุนโลกไม่ได้ แต่ถ้าตราบใดที่เรายังไปใช้การจูงใจอยู่ ...จูงให้เกิดความอยาก จูงให้เกิดความโลภ ถ้าไม่ได้ก็โกรธ ถ้าได้มาแล้วก็ลุ่มหลงงมงายอยู่กับสิ่งนั้น จิตของเราจะไม่สามารถสตาร์ทพลังบวกเป็นความรักค้ำจุนโลกได้เลย กลายเป็นโมฆะบุรุษ เป็นโมฆะสตรี เท่านั้นยังไม่พอ ยังทำร้ายกันเองอีก เบียดเบียนกันอีก
ฉะนั้น วิธีการฝึกธรรมะก็คือ ถือศีล ไม่ก้าวล่วงผู้อื่นทางกาย วาจา ใจ แล้วก็ต้องเป็น ?มนุษย์? ให้เป็น คือละให้ได้ และคิดให้เป็น อย่าคิดถามหาตัวตน คิดในขณะที่จิตสุขสงบ คิดเพื่อ ?ให้? ไม่ได้คิดเพื่อ ?เอา? อย่างนี้เขาเรียก ปฏิบัติการทางเทคนิค หาปัญญาจากคิดเองให้ได้ ใช้อำนาจทางจิตภายใน คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งหลับตาทำสมาธิอย่างพระ ถามว่ามันใช้ได้ดีกับการดำเนินชีวิตของคุณไหม หรือ แค่พักผ่อนจิตของคุณให้มันสงบชั่วคราว อย่างเวลาเราคุยกัน เราต้องการสมาธิมากกว่าที่จะไปนั่งหลับตาทำสมาธิ
พระฝึกสมถะกรรมฐานแล้ว ท่านก็ใส่วิปัสสนากรรมฐานต่อยอดเข้าไป คือพิจารณาด้วยปัญญา คือฝึกคิด เพื่อหาปัญญา หาแสงสว่าง ส่วนเรา ...เพื่อการรู้แจ้ง ไม่ใช่หาปัญญาอย่างเดียว ต้องหาทางออกที่ถูกต้อง หาทางเลือกที่ถูกต้องด้วย เพราะเราต้องเกี่ยวกรรมกับใครต่อใครเยอะแยะ เพราะเรายังอยู่ในอาสวะกิเลส...?
อาจารย์คาดหวังจากการทำงานตรงนี้อย่างไรคะ
?ไม่ได้มีความคาดหวังใด ผมเหมือนดวงอาทิตย์ คุณสมบัติของดวงอาทิตย์ก็คือมีความร้อนแรงและแสงสว่าง เพราะฉะนั้น เมื่อมีคุณสมบัติใด หน้าที่ของสรรพสิ่งนั้น ในจักรวาลนี้ก็จะต้องแสดงตนเองออกมาให้กับทุกสรรพสิ่งได้สัมผัสรู้ ดูเห็นอย่างชัดเจนในความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตนเอง และสิ่งที่ตนแสดงออกมานั้นต้องเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ คือก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ตัวเองจะเกิดประโยชน์สุขหรือไม่ เราไม่สนใจ แต่ผู้อื่นต้องได้ประโยชน์สุขด้วย
...ดวงอาทิตย์มีคุณสมบัติคือความร้อนกับแสงสว่าง เพราะฉะนั้น ดวงอาทิตย์ก็ต้องเปล่งความร้อน และแสงสว่างออกไปทุกทิศทาง ใครจะรับก็รับ ใครจะไม่รับเราก็ไม่ว่า แต่เรามีหน้าที่เปล่งประกายออกมา ถ้าพูดแบบจิตมนุษย์ก็คือ เรามีประสงค์ที่จะให้มนุษย์ทุกคนเกิดสติทางวิญญาณ เพื่อที่จะได้จูงมือกันกลับบ้าน มีสติทางวิญญาณคือ กลับมาเป็นคนดีก่อนที่โลกใบนี้มันจะเละเทะ และก่อนที่ตัวเองจะแหลกราญ เพราะโลกเสียสมดุล เนื่องจากมนุษย์มีความรักกันน้อยมาก โลกก็เลยหมุนช้าลง มันถึงเหวี่ยงหมุนเป็น 24 ชั่วโมง ต่อรอบ ...เดิมทีโลกหมุนเร็ว 22 ชั่วโมงต่อรอบ ตอนนี้มันหมุนช้าลงเพราะพลังงานที่ได้จากจิตมนุษย์น้อยลง มนุษย์ไม่รู้จักคำว่ารัก รักไม่เป็น รักไม่ได้ ไม่เชื่อพระศาสดา
สมัยนี้คุณสังเกตมั้ยว่า เวลาที่คุณเดินไปไหน มีแต่คนใจไม้ไส้ระกำ คนใจดำทั้งนั้น บางทีผัวเมีย พ่อแม่ ฆ่ากันตายได้ทั้งที่รักกัน แต่งงานกัน นอนกอดกัน พออารมณ์ไม่ดี ผิดใจกันหน่อยเดียว เอามีดเสียบแทงกันตาย ก็แสดงว่ารักไม่จริง มันเป็นความลุ่มหลง เป็นประเพณีอะไรก็ไม่รู้ ถ้ารักกันต้องฆ่ากันหรือ?
อย่างคำว่า ...รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี...ไปเข้าใจกันว่า ถ้ารักมากต้องตีแรง ๆ ตีเจ็บ ๆ...ไม่ใช่ครับ คำว่าตีนี่คือ ให้ตีด้วยความรัก ไม่ได้ตีด้วยไม้เรียวหรือตีด้วยไม้ตะพด หรือไม้หน้าสาม...
รักวัวให้ผูก คำว่าผูกนี่คือ ผูกพัน ไม่ใช่ผูกเชือก คนสมัยก่อนเขาเลี้ยงวัว เขาไม่ได้ผูกล่ามนะ เขาปล่อยมันไปตามอิสระ และ เดินไปด้วยกัน คุยกับมันไปด้วยได้ด้วยซ้ำ แต่คนสมัยนี้คุยกับสัตว์ไม่รู้เรื่องเพราะอะไร เพราะสัตว์ไม่ยอมฟัง เพราะความเมตตาดีงามในจิตใจไม่มี สัตว์มันรับกระแสตรงนั้นไม่ได้ มันเลยพูดกันไม่รู้เรื่อง?
นอกจากอาจารย์จะจัดคอร์ส ?ไซโคโชว์? แล้วยังใช้สื่อไหนบอกเรื่องราวจากจิตรจักรวาลสู่ผู้คนอีกคะ
?ผมสื่อด้วยการเขียนหนังสือ แล้วอาจารย์ก็รับไปบรรยายที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์สิริกิติ์ ไปบรรยายทุกปีครับ วันที่ 27 มีนาคมนี้ก็มีบรรยายด้วย มีคนฟังล้นทุกที ตอนนี้คนที่หายไปกลับมาฟังอาจารย์มากเลย ตั้งแต่เกิดสึนามิ... เพราะอาจารย์เตือนไว้ให้ระวังเมื่อ 2-3 ปีก่อน อาจารย์เตือนว่า ภัยร้ายจะเข้ามาหาตน คืบคลานเข้ามาช้า ๆ คืบคลานมาเรื่อย ๆ...?
นอกจากสึนามิแล้ว จะเกิดภัยพิบัติอะไรขึ้นอีกบ้าง
?...ภาคเหนือจะเกิดแม่น้ำสายใหม่ จังหวัดกาญจนบุรีจะมีทะเล เขื่อนบางเขื่อน น้ำจะเป็นน้ำทะเล ภูเขาจะพังและแยกออก น้ำทะเลก็จะทะลักเข้ามา เป็นต้น แล้วประเทศไทยเราก็จะมีภูเขาไประเบิดขึ้นมาตั้ง 3-4 แห่ง แต่อย่าถามว่าอีกเมื่อไหร่ อย่าถามเรื่องเวลา ถ้าผมบอกไปมันก็จะเลื่อน และถ้าเลื่อน มนุษย์ก็จะเจอเรื่องหนักหนาสาหัสกว่า คือมันจะแรงขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว...
อาจารย์ก็มีหน้าที่ให้ข่าวสารว่าโลกกำลังวิกฤต เพราะจิตสำนึกของมนุษย์ต่ำทราม ถ้าใครรู้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น รีบแก้ไขจิตสำนึกของตัวเอง รีบเป็นคนดีซะ เพราะคนที่จะรอดพ้นจากตรงนี้ได้ก็คือคนดี คือ 1. ถือศีล 2. ปฏิบัติธรรม รู้จักรักให้เป็น รักให้ได้ 3. ใช้สมองซีกขวานำซีกซ้าย คือใช้ปัญญาญาณให้เป็น อย่าใช้ซ้ายนำขวาเหมือนตั้งแต่เกิดจนถึงป่านนี้ ถามหาตัวตน เช่น เวลามีปัญหาเกิดขึ้นมาในการทำงาน ทุกคนจะถามหาว่า ใครเป็นคนทำ ? แบบนี้แหละคือการใช้สมองซีกซ้าย คือถามหาตัวตน ...เดินไปด้วยกันบนถนน เจอขยะวางอยู่หลายก้อน เราก็เดินอ้อม หรือบางทีเตะขยะไป เราไม่เก็บเอาไปใส่ถังขยะ ที่เราไม่เก็บเพราะเราบอกว่า เราไม่เป็นคนทิ้งนี่...นี่แสดงว่า เราคิดว่าไม่ใช่ของเรา หรือประเทศไทยนี่ไม่ใช่ของเรา หรือบางทีคิดว่าเราไม่ใช่พนักงานเก็บขยะ นี่คือคุณคิดหาตัวตน...
คนเราถ้ามีแต่คนใช้สมองซีกซ้าย มันจะมีแต่ขยะเต็มไปหมด เช่น ขยะวัตถุ เทคโนโลยี ซึ่งสมองซีกซ้ายสร้างขึ้นมาทั้งนั้น แต่คุณเห็นมั้ย สร้างสิ่งหนึ่งแต่ก็ต้องทำลายสิ่งหนึ่งเสมอ แต่คิดอย่างสมองซีกขวาของผมนี้ สร้างอย่างเดียว ยังไม่ได้ทำลายเลย เพราะใช้ขวานำซ้าย ให้โดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน พระพุทธเจ้าเรียกว่า ให้ทาน หรือบางทีให้หมดเลย ไม่ใช่แบ่งปัน เขาเรียก เสียสละ
มนุษย์ปัจจุบันนี้ทำไม่ได้หรอก ไม่รู้จักว่าเสียสละคืออะไร มีขอทานมาตั้งเงื่อนไขนั่งข้างถนนและทุพพลภาพด้วย มองเขาด้วยสายตาขยะแขยง แทนที่จะสำนึกว่านั่นละ เขามาช่วยเป็นบททดสอบจิตสำนึกให้เรารู้สึกเกิดการสั่นสะเทือนเป็นจิตเมตตา ถึงแม้ไม่ต้องควักเงินหยอดให้ ก็คิดสงสารเขา ถ้าเป็นสามีเราลูกเรา แล้วมาเป็นแบบนี้ คงแย่แน่ๆ เลยนะ น่าสงสารเขานะ การที่พระพุทธเจ้าบอกว่า อนิจจัง วัฏฏะสังขารา คือปลงอนิจจัง นึกถึงตนเองหรือญาติตนเอง ถ้าไปเจอแบบนี้คงแย่นะ สงสารเขานะ ถ้าคุณไม่รู้จักบริจาคทาน ให้ด้วยความรู้สึกที่ดีก็ได้ เนี่ยพลังบวกเกิดขึ้นแล้ว คุณสอบผ่านนะ แต่บางคนพอเห็นปั๊บ เดินหนีเลย แถมยังเที่ยวไปด่าเขา ดูถูกเหยียดหยามเขา แสดงว่าสอบตก
อำนาจแม่เหล็กโลกเป็นผู้กำกับสติปัญญาของมนุษย์ ทุกวันนี้ ทำไมมนุษย์เราใช้สมองซีกซ้าย คือสมองขยะนำซีกขวา มากกว่าจะใช้ซีกขวานำซีกซ้าย ทั้งนี้ก็เป็นเพราะแกนหมุนของโลกมันเอียงไม่สมดุล และเมื่อเป็นเช่นนี้ เอกภพที่เป็นเปลือกไข่ใบใหญ่ของแมงมุมที่ผมยกตัวอย่างไว้ เขาก็เอียงไปทางซ้าย 0.2 องศา ขณะนี้ซึ่งเรียกว่าไม่สมดุล เพราะมนุษย์เราเหลวไหล ไม่เชื่อพระศาสดาทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าเราจะนิพพาน ต้องนิพพานให้ได้เสียตั้งแต่ตอนที่เป็นมนุษย์ คุณสมบัติของผู้ที่จะนิพพานได้ จิตวิญญาณใดก็ตามที่จะนิพพานได้ ต้องมีคุณสมบัติคือ เรียนรู้บทเรียนโลกได้อย่างโจ่งแจ้ง...?
อาจารย์สรุปอีกทีได้ไหมคะว่าสิ่ที่อาจารย์ทำอยู่ทุกวันนี้คืออะไร
?สิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ ผมทำหน้าที่ 2 ด้าน คือ ทฤษฎีไซโคโชว์ คือที่รับจัดฝึกอบรม เพื่อแก้ไขจิตสำนึกที่บกพร่องของมนุษย์ในองค์กรทั้งเอกชน และราชการ เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขาดจิตสำนึกของเขา และสร้างทักษะในการมีสำนึกใหม่ที่ถูกต้องด้วยทฤษฎีไซโคโชว์ของผม ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านวิทยาศาสตร์พฤติกรรม ซึ่งเป็นทฤษฎีส่วนตัวนะ และทุกวันนี้งานเยอะมาก
ส่วนทางธรรมะก็คือ ผมมีหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารความรู้จากจักรวาล ที่ผมเรียกว่าจิตจักรวาล ผมทำหน้าที่โดยบรรยายธรรมะให้คนฟัง โดยที่เรามีชมรมหลักอยู่ชมรมหนึ่งคือ ชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก มีสมาชิกเยอะแยะทั่วประเทศ และตอนนี้เราก็ไปตั้งชมรมลูกอยู่ที่อีสานคือ ชมรมผู้ประพฤติธรรม เราจะรวบรวมคนทุกศาสนาที่ต้องการ ที่จะเป็นผู้ที่เข้าถึงจิตสำนึกที่ถูกต้อง เหมาะสม และดีงาม ด้วยการนำเอาความรู้และข่าวสารต่าง ๆ ที่อาจารย์ได้รับการถ่ายทอดมาจากจิตจักรวาล ที่เรียกว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ มาบอกกล่าวเล่าแจ้งให้เขาได้คิดและได้สติทางวิญญาณและเอาไปปฏิบัติ
เช่นว่า ผมเปิดเผยว่าโลกเรานี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร และขณะนี้ทำไมภัยธรรมชาติมันรุนแรงเอากับมนุษย์โลกมากขึ้น มนุษย์โลกทำอะไรบกพร่องหรือ เกี่ยวกับมนุษย์มั้ย ตอบว่าเกี่ยวนะ ถ้าคุณจะหยุดวิกฤตโลก จะต้องกอบกู้อิสรภาพทางจิตสำนึกของตัวคุณเองให้ได้ ทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกัน เพราะจิตสำนึกของมนุษย์กับจิตสำนึกของโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน เราต้องให้พลังบวกกับโลก ด้วยการที่ทุกคนต้องรักกันเท่านั้น รักให้ได้ รักให้เป็น แต่ทุกวันนี้เราไม่เข้าถึงหน้าที่ตรงนั้นเลย เรามัวแต่เวียนว่ายตายเกิดมาแก้แค้นกับแก้ไขสองอย่างเท่านั้น ซึ่งมันเท่ากับว่าเราบกพร่องต่อหน้าที่ เราใช้เวลาล่วงเลยมาเกือบ 6 หมื่นปี บวกเข้าไปอีก 800 ปีละ เราก็ยังนิพพาน คือ กลับบ้านไม่ได้
เพราะฉะนั้น หน้าที่อาจารย์ก็คือ มาเตือนทุกคนว่าให้มีปณิธานแห่งนิพพาน คือให้รู้ว่าเราหมดหน้าที่ทางโลกแล้ว เราก็ต้องหาทางนำจิตวิญญาณกลับบ้านคือแดนศุญญตาให้ได้เหมือนที่พระพุทธเจ้า ทรงเสด็จกลับไปด้วยพระองค์เอง เราจะต้องถือศีล ปฏิบัติธรรม และคิดให้เป็น ใช้ปัญญาของเราให้เป็น ดำเนินชีวิตไปตามแนวทางที่อาจารย์แนะนำหรือศาสนาของคุณแนะนำก็ได้ อย่าใช้ความงมงายในการดำเนินชีวิตและอย่ายึดติดกับทางโลกอย่างเดียว เราเป็นสองมิติ อย่าทำเพื่อกายอย่างเดียว ต้องทำเพื่อจิตวิญญาณของเราด้วย นั่นคือสิ่งสำคัญที่อาจารย์ทำ...
และอาจารย์ก็บอกล่วงหน้าว่า ขณะนี้โลกถูกตัดสินแล้วว่าจะต้องถูกชำระ เพราะให้มนุษย์ด้วยกันค้ำจุนโลกให้สมดุลไม่ได้แล้ว มนุษย์เราเป็นตัวการ ขณะที่จิตวิญญาณเราถูกส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ค้ำจุนโลก แต่มนุษย์เองกลับทำลายความสมดุลของระบบโลกซะเอง แทนที่เราจะมาค้ำจุน นี่คือโทษหนัก คือไม่เชื่อศาสดาของตัวเอง เอาศาสดามาอ้างอย่างเดียวว่า ฉันเป็นคนมีศาสนา มีศาสดา แต่ไม่เคยเชื่อฟังและเคารพพระศาสดาอย่างแท้จริง เอามาพูดเพื่อเอาดีใส่ตัว เพื่อแอบอ้างกันเท่านั้น นั่นคือความเหลวไหลของมนุษย์ ผมถึงบอกว่าคุณนับถือศาสนาใดก็ได้ แต่อย่างมงาย เอาแก่นแท้ของธรรมะ ของศาสนานั้นมาปฏิบัติให้ได้ เพราะมันมีต้นธรรมต้นเดียวกัน แต่ละพระองค์มาเกิดกันคนละยุคคนละสมัย เราจะไปแบ่งแยกศาสดาว่าเราเอาพระพุทธเจ้า ไม่เอาคริสต์ ไม่เอาอิสลามไม่ได้ เพราะพระศาสดาล้วนเป็นผู้มีเมตตาต่อมนุษย์อย่างเรา ๆ ทั้งนั้น พระองค์อุตส่าห์จุติมาเป็นพระศาสดาเพื่อมาสอนให้พวกเรามีสติทางวิญญาณ ถ้าไม่มีพระองค์มาสอน เราก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไร มาสร้างสำนึกให้ แต่นี่ปรากฏว่าเรารักพระพุทธเจ้า แต่เราไปเกลียดศาสนาอื่น หรือเรารักพระเยซูคริสต์แต่เราไปเกลียดพระพุทธเจ้า เราทำอย่างนั้น เรางมงายและเราโง่มาก ๆ มันไม่ถูกต้อง นั่นคือหน้าที่ที่อาจารย์มาสอน สอนว่าเราจะต้องประพฤติ ปฏิบัติตนอย่างไร
อาจารย์สอนแม้กระทั่งที่ว่า เราจะต้องเตรียมตัวผจญกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลกอย่างไรบ้าง อาจารย์พูดมาเกือบ 10 ปีแล้ว และก็จะพูดต่อไปเรื่อย ๆ?
ต่อไปนี้โลกเราจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีกคะ ถ้าหากมนุษย์ไม่สามารถสร้างความสมดุลบนโลกได้
?...นี่อาจารย์ก็ทำแผนที่ของอาจารย์ขึ้นเอง เป็นแผนที่โลกใหม่ อย่างเช่น สึนามิที่เกิดขึ้นก็เกิดในพื้นที่ที่อาจารย์เทสีแดงไว้ซึ่งนั่นคือเขต อันตราย และที่มันเกิดมันก็อยู่ในโซนสีแดงที่อาจารย์ทำไว้บนแผนที่นี้ มีสีแดงอีกทั้งโลก ตรงไหนบ้าง เอาไว้คอยดูก็แล้วกัน ถ้าสนใจก็คอยติดตามฟัง อาจารย์จะบรรยายธรรมะให้ฟังตามที่ต่าง ๆ แล้วจะก็สอนเรื่องให้คน modify จิตสำนึกของตนเอง?
การปรับปรุงแก้ไขจิตสำนึกตามหลักที่อาจารย์แนะนำนั้นต้องทำอย่างไรคะ
?จริง ๆ แล้วทำไม่ยาก ถ้าเราไม่ดื้อไม่งมงาย อยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจของเรามั้ย เราจะหลงตัวเองมั้ย ภาษาชาวบ้านเขาเรียก มี ego มากน้อยแค่ไหน มนุษย์ทุกคนติด ego ความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก เชื่อมั่นในความรู้เดิมของตนเอง เชื่อมั่นในสติปัญญา ภูมิรู้ภูมิธรรมของตัวเอง นี่คือปัญหาของมนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าให้ละวางอัตตาซะ คือละวางการยึดติดทุกสิ่ง เปิดไปเรื่อย ๆ เหมือนต้นไม้ ถึงจะแข็งแรงแล้วก็จริง ฝนตกมาอีกต้นไม้ก็ไม่ปฏิเสธฝน ฉันมีแสงแดดมาทำให้เกิดพลังงานในการสังเคราะห์แสงแล้วเต็มที่แล้ว แต่แดดยังแจ๋อีก มันเกินพอ แต่ฉันโวยวายมั้ย ฉันก็สงบนิ่ง ฉันพร้อมจะรับ ให้มามากฉันก็รับมาก ให้มาน้อยฉันก็รับน้อย แต่มนุษย์ไม่ได้ทำตนเช่นนั้น พอรู้ว่าฉันพอแล้ว ซึ่งจริง ๆ ยังไม่พอหรอก แต่คิดว่าพอแล้ว และแสดงออกให้เห็นว่าฉันพอ มนุษย์ก็เลยกลายเป็นเหมือนต้นไม้ที่ตายซาก เพราะใช้ความรู้สึกของตนเองเป็นหลักซึ่งไม่ถูกต้อง มันผิดธรรมชาติ
ที่อาจารย์เดินทางไปทั่วประเทศ สอนไซโคโชว์ซึ่งนั่นคืองานอาชีพ แต่ได้แทรกสิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้ไว้ตลอดเวลาเพื่อสอนให้คนมีสำนึกเป็นบวก พระบิดาอนุญาตให้อาจารย์ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์แล้วให้ประโยชน์แก่โลกได้ใน ระดับที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงภัยพิบัติที่ร้าย ๆ ที่จะเกิดขึ้นบนโลก คือ สามารถจะลดความรุนแรงลงไปได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์
เมื่อปลายปี 44 อาจารย์รู้ว่าสึนามิมันจะเกิด อาจารย์เมตตาเพื่อนมนุษย์ ทนไม่ได้ อาจารย์ก็ไปบอกใบ้คนเขา เพราะสงสารไม่อยากให้เกิด ปรากฏว่าพอไปบอก เหตุการณ์ก็เลื่อน ก็ถือว่าเป็นบททดสอบ ก็มีลูกศิษย์ของอาจารย์หลายคนที่หายไป และไม่เชื่ออาจารย์อีก ว่าอาจารย์เพี้ยน แต่เขาก็เพิ่งกลับมา โทรศัพท์มาและก็มากราบขอโทษอาจารย์ที่ล่วงเกินอาจารย์ เพราะสึนามิมันเกิดเหมือนที่อาจารย์พูดไม่มีผิด...?
บทสัมภาษณ์ดำเนินมาถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ หากท่านผู้อ่านยังติดใจสงสัย อยากจะทราบความกระจ่างที่นอกเหนือไปจากบทสัมภาษณ์ตรงนี้ ติดต่อไปสอบถามอาจารย์ปริญญา ตันสกุล หรือ สมัครเป็นสมาชิกชมรมจิตจักรวาล ที่สำนักพิมพ์จิตจักรวาล โทร. 0-2512-3176 ได้ค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น